ที่ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เขตบางนา กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล" โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้บริหาร และประชาชนเข้าร่วมงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวรายงานว่า จากที่รัฐบาลประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ นายกรัฐมนตรีให้ 8 แนวทางในการช่วยเหลือประชาชน แต่มี 4 หัวข้อที่กระทรวงยุติธรรมช่วยเหลือได้ทันที คือ 1.การแก้ปัญหาหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือกยศ. 2. การแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 3. แก้ปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์ (ลิสซิ่ง) และ 4.ปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม อำนวยความสะดวกการไกล่เกลี่ย ทำให้กระทรวงยุติธรรม เร่งดำเนินการ ทั้งนี้ที่เลือกกรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นที่จัดงานครั้งแรก เพราะเป็นพื้นที่มีลูกหนี้มากถึง 95,850 ราย รวมมูลค่า 10,576 ล้านบาท แบ่งเป็นผู้เป็นหนี้ก่อนฟ้อง 48,590 ราย มูลค่า 4,186 ล้านบาท ประกอบด้วย หนี้สินเชื่อบัตรเครดิต 24,370 ราย สินเชื่อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 3,924 ราย ลูกหนี้ กยศ. 20,296 ราย ส่วนของบังคับคดี มีส่วนที่มีคำพิพากษาแล้ว 47,260 ราย มูลค่า 6,390 ล้านบาท บุคลลที่เข้ามาร่วมงานจะได้สิทธิประโยชน์ชั้นก่อนฟ้อง คือขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ลดเบี้ยปรับ ลดดอกเบี้ย ลดค่างวดรายเดือน งดฟ้องดำเนินคดี และรับเงื่อนไขปลดผู้ค้ำประกัน ในส่วนของชั้นบังคับคดี จะได้รับสิทธิคือขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ ลดเบี้ยปรับ ลดจำนวนเงินผ่อนชำระหนี้ งดยึดทรัพย์ งดขายทอดตลาด ลูกหนี้จะไม่ถูกบังคับคดี และยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ
จากนั้นนายกรัฐมนตรี มอบโล่รางวัลให้ศูนย์ไกล่เกลี่ย 9 หน่วยงาน และมอบโล่เชิดชูเกียรติ ผู้ส่งเสริม สนับสนุนและขับเคลื่อนงานไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกระทรวงยุติธรรม 6 ราย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แต่วันนี้ เจอสถานการณ์ โควิด 19 แม้ว่าไม่มีสถานะการโควิด รัฐบาลก็ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศเดียวในโลกที่พบปัญหานี้ ขอให้มองทั้งภายในและภายนอก ว่าโลกเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากมองมาทางประเทศไทยประเทศเดียว ก็เยอะไปหมด ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน โดยปีนีรัฐบาลประกาศให้มีการแก้ไขปัญหาความยากจน โลกเปลี่ยนเราต้องปรับตัว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาความยากจนหลายรัฐบาลไม่ใช่ไม่คิด สำหรับตนได้ให้นโยบายว่าต้องแก้ไขปัญหาจากต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ต้องดูว่าจะแก้ได้อย่างไรในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถอยู่รอด ให้เหลือเงินเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่าย โดยอยู่รอดอย่างพอเพียง นำไปสู่ความยั่งยืนได้ เพราะหนี้สินครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ลามไปถึงปัญหาสังคมความเสียหายการล้มละลาย การฟ้องร้อง เราจึงต้องขจัดความยากจน และพัฒนาคนตามช่วงวัยอย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องพุ่งเป้าไปที่ครัวเรือน และต้องดูว่าความจนมันเกิดจากอะไร บางครั้งไม่ใช่จนแค่เงิน แต่จนความรู้ จนเรื่องเทคโนโลยี เราจึงต้องหาวิธีการแก้ไข โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปีนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนต้องการให้ประเทศไทยเกิดความยั่งยืน ไม่ใช่ประเทศที่แตกแยก ไม่ใช่ประเทศแห่งความทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าเป็นแบบนั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้สักอย่าง ตรงไหนเขารบกันก็ไปรบกับเขาด้วย ตรงไหนทะเลาะกัน ก็ไปทะเลาะกับเขาด้วย ถามว่าจะอยู่แบบนี้หรือ ขอให้ทุกคนคิดกันเสียบ้าง
ส่วนการกู้เงิน กยศ.ที่มีคนไม่คืนเงิน ต้องไปดูว่ายืมมากี่ปี แล้วเพราะอะไรถึงไม่ชำระ มีปัญหาก็ต้องช่วยเหลือแก้ปัญหาให้แล้วคนที่ไม่มีปัญหาไม่ชำระไปหาตัวมาให้ดีก็แล้วกัน เงินทั้งหมดในวันนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล เป็นเงินของประชาชนส่วนหนึ่งด้วย ต้องปรับกติกาให้ประชาชนใช้ได้ ไม่ว่าจะบริษัท รัฐวิสาหกิจอะไรต่างๆ ทุกคนต้องดูศึกษาด้วย
"วันนี้เป็นมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อลดการฟ้องร้อง ไอ้ประเภทฟ้องแล้วฟ้องอีกอยู่เนี่ย กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ฟ้องแล้วฟ้องอีก ประกันแล้วประกันอีก มันอะไรกัน ฟังกันอยู่ทำไม เจ้าหน้าที่เขาทำงานกันแทบตาย "พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องกลับมาดูสิ่งเก่าๆ หนี้สินปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาเหล่านี้มักจะมีปัญหาทุกครั้งกับการทำงานในแนวใหม่