นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ส่งหนังสือขอให้ตรวจสอบภาษีนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปแล้วนั้น ต่อมาเว็บไซต์คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มเติมอีก ซึ่งมีหลายรายที่แจ้งรายได้และเงินได้พึงประเมินที่อาจไม่สอดคล้องกัน เป็นมูลเหตุให้ต้องแจ้งนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้กรมสรรพากรทำการตรวจสอบต่อไป สำหรับแนวการตรวจสอบครั้งนี้ จะดูความสัมพันธ์ของรายได้กับเงินได้พึงประเมินว่าสอดคล้องต้องกันหรือไม่ และมีเงินได้ที่อาจยังไม่ได้นำไปเสียภาษีหรือไม่ อันเป็นเหตุที่ควรตรวจสอบภาษีต่อไป ซึ่งจากการตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 4 ราย ที่ควรขอให้นายกฯ ดำเนินการดังนี้
1.นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีดำรงตำแหน่งครบสามปี ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564 โดยแสดงรายได้ของตนเอง(ผู้ยื่นบัญชี) และคู่สมรส ไว้หลายรายการ และแจ้งข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้ ผู้ยื่นบัญชีกับคู่สมรส มีเงินได้พึงประเมินตามม.40(1)-(8) 2,827,687.0, 300,000.00 นายชยธรรม์ แจ้งข้อมูลทรัพย์สินว่ามีเงินให้กู้ยืมแก่นายเมตต์ ศรีนราวัฒน์ อาชีพ นักธุรกิจ จำนวน 2,000,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.58 โดยหมายเหตุว่า สถานะการร่วมลงทุนยังคงอยู่ แต่นายชยธรรม์ ไม่มีการแจ้งรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมไว้แต่อย่างใด ดังนั้น กรณีจึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า นายชยธรรม์ มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมดังกล่าวหรือไม่ และมีการนำรายได้ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้อง หรือไม่ 2.นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีดำรงตำแหน่งครบสามปี ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564 โดยแสดงรายได้ของตนเอง(ผู้ยื่นบัญชี) และคู่สมรส ไว้หลายรายการ และแจ้งข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้ ผู้ยื่นบัญชีกับคู่สมรส เงินได้พึงประเมินตามม.40(1)-(8) 1,727,458.73, 723,075.00 แต่เนื่องจากนายอายุตม์ ได้แจ้งรายได้บางรายการต่อ ป.ป.ช. ไว้ด้วย เช่น ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง 174,000 บาท และค่าเช่าคอนโดของคู่สมรส 528,000 บาท เป็นต้น ดังนั้น กรณีจึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า รายได้ดังกล่าวมีการนำไปรวมเสียภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้อง หรือไม่
3.นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีดำรงตำแหน่งครบสามปี ณ วันที่ 2ธ.ค.2564 โดยแสดงรายได้ของตนเอง(ผู้ยื่นบัญชี) และคู่สมรส ไว้หลายรายการ และแจ้งข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้ ผู้ยื่นบัญชีกับคู่สมรส มีเงินได้พึงประเมินตามม.40(1)-(8) 1,462,877.24, 2,483,486.00 เนื่องจากนายรณรงค์ ได้แจ้งรายได้บางรายการต่อ ป.ป.ช. ไว้ด้วย เช่น ค่าเช่าสิ่งปลูกสร้าง 374,000 บาท และค่าเช่าที่ดิน 360,000 บาท เป็นต้น ดังนั้น กรณีจึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า รายได้ดังกล่าวมีการนำไปรวมเสียภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้อง หรือไม่ และ 4. นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีดำรงตำแหน่งครบ3ปี วันที่ 2ธ.ค.64 โดยแสดงรายได้ของตนเอง(ผู้ยื่นบัญชี) และคู่สมรส ไว้หลายรายการ และแจ้งข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้ ผู้ยื่นบัญชี กับคู่สมรส มีเงินได้พึงประเมินตามม.40(1)-(8) 1,724,367.18, 393,758.52 เนื่องจากนายสุรชัย ได้แจ้งรายได้บางรายการต่อ ป.ป.ช. ไว้ด้วย เช่น ค่าไม่ใช้รถหลวง 381,600บาท และค่าเช่าบ้านของคู่สมรส 264,000 บาท เป็นต้น ดังนั้น กรณีจึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า รายได้ดังกล่าวมีการนำไปรวมเสียภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้อง หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลที่ได้จากเว็บไซต์ ป.ป.ช. ข้างต้น จึงมีมูลเหตุที่ต้องส่งหนังสือถึงนายกฯ เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้กรมสรรพากรทำการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้ง 4 ราย ต่อไปว่า มีการนำรายได้ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้อง หรือไม่ โดยในวันนี้ ตนได้ส่งหนังสือไปแล้ว.