กระทรวงมหาดไทยร่วมกับภาคีเครือข่าย ผนึกกำลังประกาศ ‘MISSION 2023’ มุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สร้างสิ่งที่ดี Change for Good เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดภาวะโลกร้อน อย่างยั่งยืน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานร่วมและกล่าวสนับสนุนต่อความร่วมมือดำเนินงานในพิธีประกาศ ‘MISSION 2023’ ผนึกกำลังมุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์: มาตรการทดแทนปูนเม็ด โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวันชัย วราวิทย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานร่วมและกล่าวสนับสนุน นายสุเมธ มีนาภา รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมงาน โดยมี นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวรายงาน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นในการร่วมเป็นภาคีสำคัญเพื่อ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยและโลกใบนี้ เพื่อช่วยรักษาโลกใบเดียวของเราที่มีอยู่ให้คงอยู่มีอายุยืนยาว อยู่รอดปลอดภัยจากภาวะโลกร้อน ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) สมัยที่ 26 หรือ COP26 อย่างชัดเจนว่า “เราไม่มีแผนสำรอง No plan B เพราะเรามีโลกใบเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของมวลมนุษยชาติ” โดยสิ่งที่เราทำในวันนี้นับว่าเป็นสิ่งที่เราทุกคนได้ช่วยกันทำบุญให้กับมวลมนุษยชาติร่วมกัน ซึ่งในบรรดามวลมนุษยชาติจำนวนมากนั้น ก็มีญาติพี่น้องและลูกหลานของเราอยู่ด้วยที่จะได้อยู่อาศัยในโลกที่แสนจะสวยงามใบนี้ หลังจากที่พวกเราล่วงลับไปแล้วในอนาคต
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญในการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ที่เป็นเป้าหมายเดียวกันของนานาประเทศทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการน้อมนำแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมุ่งมั่นในการรักษาและต่อยอดแนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาภูมิปัญญาอัตลักษณ์ของบรรพบุรุษให้คงอยู่แล้ว ยังมีส่วนช่วยในการลดภาวะโลกร้อนด้วย เพราะสิ่งที่เป็นพระวิสัยทัศน์อันแสดงถึงสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระองค์ท่านในเรื่องดังกล่าวที่อยู่ในพระดำริ นั่นคือ ทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตด้วยการพึ่งพาตนเองของชาวบ้าน ทั้งการปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ย้อมสีผ้าด้วยสีธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสวมใส่ผ้าไทยในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ไม่น้อยกว่า 2 วัน และประโยชน์อีกประการหนึ่ง คือ การที่เราสวมใส่ผ้าไทย ทำให้เราไม่ต้องเปิดแอร์อุณหภูมิที่ต่ำมาก ทำให้ลดการใช้พลังงาน ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่งผลการเกิดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ได้ร่วมกันผลักดันขับเคลื่อนสิ่งที่สนับสนุนเป้าหมายเดียวกันกับพวกเรา ด้วยการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจในพื้นที่จังหวัด ร่วมกันคัดแยกขยะเปียกออกจากถังขยะทั่วไป และรณรงค์การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ด้วยการทำปุ๋ยหมักระบบปิดประจำครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนจำนวน 12 ล้านครัวเรือนที่เป็นเป้าหมายขั้นต่ำในทุกพื้นที่ของประเทศไทยได้ร่วมกันขับเคลื่อนกระทั่งสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) 5 แสนตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ประมาณ 65 ล้านต้น จึงขอใช้โอกาสนี้ในการเชิญชวนให้ผู้บริหารภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และทุกภาคส่วน ได้ช่วยกันขยายผล ทั้งการสวมใส่ผ้าไทย การคัดแยกขยะ และการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในครัวเรือน เพื่อสร้างสิ่งทีดีให้เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นกับประเทศไทย และเกิดขึ้นกับโลกใบเดียวของเรานี้ให้เพิ่มมากขึ้น
นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประกาศความร่วมมือในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ : มาตรการทดแทนปูนเม็ดในวันนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการรวมพลังกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้โลกใบนี้อยู่รอด ด้วยการใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้จัดทำมาตรฐานกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของวัสดุใช้ในงานโครงสร้างอาคาร หรือ มยผ. ตั้งแต่ มยพ. 1101-1106 โดยกำหนดให้การก่อสร้างต่างๆ ต้องใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิกหรือซีเมนต์ที่ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการก่อสร้าง
“กระทรวงมหาดไทยจะได้เชิญนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดให้การใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นแนวทางการใช้ปูนซีเมนต์สำหรับการก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นการทั่วไป เพื่อช่วยในการที่จะลดโลกร้อน ทำให้สิ่งที่พวกเราตั้งใจไว้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ววัน และขอเชิญชวนให้พวกเราทุกคนช่วยกันขับเคลื่อน ช่วยกันผลักดัน และกลับไปดำเนินการโดยทันที เพื่อให้โลกของเราอยู่คู่กับมนุษยชาติเพื่อลูกหลานของเราอย่างยั่งยืนต่อไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจัยความสำเร็จไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้ร่วมกับประชาคมโลก มี 4 ประการ คือ 1) นโยบายภาครัฐและกฎหมายประเภทต่าง ๆ 2) ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน 3) การลงทุน และ 4) เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “เราต้องทำให้ได้จริง”
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญต่อการยกระดับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 2594-2556 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวและสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้งานในการมีคนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีส่วนเกี่ยวข้องในการลดภาวะโลกร้อนใน 2 สาขา คือ 1) สาขาคมนาคมขนส่ง โดยส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบรางหรือรถไฟ ซึ่งช่วยให้ลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างต่อเนื่อง และ 2) สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ โดยส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานในสังกัดปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เพื่อใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโนบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สำนักงานนโนบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สำคัญ เป็นต้นแบบขยายผลไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้สำเร็จตามแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ด้วยการเป็นหน่วยประสานการผนึกกำลังจาก 25 พันธมิตร ภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา ด้วยการปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมมุ่งมั่นก้าวสู่ความท้าทายใหม่ 'MISSION 2023' กับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 1,000,000 ตัน CO2 ในปี 2566
นายชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (ICMA) กล่าวว่า 'MISSION 2023' เป็นภารกิจเดินหน้าทำงานร่วมกับพันธมิตร เพื่อยกระดับสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ มาตรการทดแทนปูนเม็ดด้วยการมุ่งผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้1,000,000 ตัน CO2 ภายในปี 2566 พร้อมกับประกาศความสำเร็จในปีที่ผ่านมา จากความมุ่งมั่นทำงานจนประสบความสำเร็จสามารถบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตัน CO2 ซึ่งเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวปิดท้ายด้วยว่าการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องใหญ่ที่มิใช่กระทบต่อวิถีชีวิตคนไทย แต่มันกระทบต่อทุกอณูชีวิต ทุกลมหายใจของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งผู้นำทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำเป็นแบบอย่างในลักษณะ “ผู้นำต้องทำก่อน” ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วนในการช่วยกันดูแลชุมชน ดูแลท้องถิ่น ทำบุญกับโลกใบนี้ของเรา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้บูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนต่อยอดขยายผล ทำให้การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมันลดน้อยถอยลง เพื่อประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 1,000,000 ตัน CO2 ในปี 2566อันจะทำให้ประเทศไทยอยู่คู่กับโลก โลกของเราอยู่คู่กับจักรวาล คู่กับมวลมนุษยชาติไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งมันจะไม่มีทางเป็นไปได้ “ถ้าวันนี้เราไม่ทำทันที”