คณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคี ร่วมประชุมยกระดับการทำงานปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ ที่มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ โดยการหารือดังกล่าวมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมด้วย
ทั้งนี้ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ นายชัชชาติ และหารือถึงประเด็นสำคัญเรื่องของระบบสุขภาพปฐมภูมิและการมีส่วนร่วมของกลไกต่างๆ ด้านสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายที่นายชัชชาติได้หาเสียง จึงถือโอกาสนี้ต่อจิ๊กซอว์การทำงานเพื่อยกระดับและจัดระบบสุขภาพของคนกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้น โดยเน้น 2 เป้าหมายหลัก คือ 1.การสนับสนุนกลไกต่อยอดนโยบาย 214 ข้อผู้ว่าฯ ชัชชาติ ด้านสุขภาพดี ในทุกมิติ ทั้งกายภาพ และระบบสร้างเสริมสุขภาพของทุกคนในกรุงเทพฯ 2.สร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ผ่านเครื่องมือ สมัชชาสุขภาพกรุงเทพมหานคร เป็นเวทีกลางพัฒนาประเด็นสาธารณะสู่การปฏิบัติเป็นกระบวนการวิเคราะห์ช่องว่างหาความร่วมมือที่สร้างสรรค์ ธรรมนูญสุขภาพในระดับเขต หรือกติกาชุมชน บางพื้นที่กำหนดเป็นทิศทาง เพื่อเป็นกรอบในการอยู่ร่วมกัน โดยมุ่งโจทย์ร่วมจะทำอย่างไรให้กองทุนสุขภาพเขต กว่าพันล้าน สนับสนุนกลไกระดับชุมชนให้ขับเคลื่อนการทำงานในประเด็นของชุมชนเอง
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงโอกาสที่จะสร้างการมีส่วนร่วมเริ่มต้นจากมิติด้านสุขภาพ มีกลไกและเครือข่ายทำงานอยู่แล้วในระดับพื้นที่ แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความเข้มข้น และขยายคำว่าสุขภาพดี ออกไปให้ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ต้องอาศัยความรู้ กระบวนการ เครื่องมือ และทุนที่มีอยู่
นพ.จเด็จ ธรรมรัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ได้ให้ข้อมูลที่ไม่สามารถเติมเงินอุดหนุนกองทุนหลักประกันสุขภาพกว่า 500 ล้านบาท ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ เนื่องจากการเขียนโครงการของภาคประชาชนต่อกองทุนสุขภาพยังน้อย และยังไม่มีแผนที่ชัดเจนในการสร้างประโยชน์ให้กับสาธารณะในวงกว้าง จึงมีเงินมากกว่า 1,140 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินของกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร ควรจะถือโอกาสนี้สร้างการมีส่วนร่วม และร่วมกันกำหนดทิศทางให้กลไกภาคสังคม เขียนเสนอโครงการต่อกองทุนเพื่อใช้ประโยชน์ในระดับพื้นที่ต่อไป
ด้าน ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเสริมในเรื่องปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพที่ สสส. มีการทำงานอยู่แล้วในระดับพื้นที่ อาจสร้างอาคารหรือสถานที่ไม่ได้ แต่สามารถสนับสนุนกิจกรรมและรณรงค์ ให้ประชาชนในกรุงเทพฯ มีสุขภาพที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันได้ โดยสนับสนุนนโยบายของผู้ว่าฯ กทม.ที่มีความครอบคลุม และมองว่าสามารถเริ่มทำงานได้เลย
“เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ กว่า 80 องค์กร เป็นกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมรูปแบบหนึ่ง ที่ถือเป็นนวัตกรรมการเมืองภาคประชาชน ที่เกิดจากความหลากหลาย หน่วยงานหลักๆ ทั้ง ไทยพีบีเอส สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เล็งเห็นความสำคัญ และกำลังพัฒนาจุดเชื่อมโยง เพื่อให้เครือข่ายดังกล่าวสามารถมีรูปแบบการทำงานเสริมหนุน ติดตาม และร่วมผลักดันนโยบายของผู้ว่าฯ กทม.เพื่อทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ของทุกคน” ทพ.สุปรีดา กล่าว
นายชัชชาติ กล่าวถึงการเดินสำรวจพื้นที่และช่วงการหาเสียง ว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่ง พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาสะสมซ้ำซาก เหมือนเดิม คล้ายๆ กัน แนวทางการแก้ปัญใช้เพียงนโยบายของผู้ว่าฯ กทม.อย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างพลังร่วมของประชาชนทุกคน ร่วมคิดร่วมตัดสินใจร่วมทำงาน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“ผู้ว่าฯ กทม.มีอำนาจเชิงบริหารก็จริง แต่ประชาชนมีหน้าที่ร่วมติดตาม และขับเคลื่อนการทำงานที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพ ครั้งนี้ เป็นโอกาสดี ที่จะได้สร้างการมีส่วนร่วมในกรุงเทพฯ และนโยบายที่มีอยู่เดิม 214 ข้อ อาจยืดหยุ่นเป็น 300-400 ข้อ ก็ได้ ถ้าประชาชนเสนอมา เราคงต้องมาทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ของทุกคน” นายชัชชาติ กล่าวและว่า จะให้เร่งหารือกันในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ และกำหนดเป้าหมาย 100 วัน เห็นอะไร ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว 4 ปี ต้องมีรูปธรรมเชิงระบบ ไม่ทำเป็นนโยบายโปรเจ็ค แล้วหายไป