แชร์สนั่นโลกโซเชียลชื่นชมผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง ตำบลดอนสมบูรณ์ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังพาลูกบ้านตาวัย 69 ปี ที่เคยพลัดถิ่น เป็นคนพเนจรมานานกว่า 53 ปี สุดท้ายกลับบ้านเกิดในวัยชราและพิการแขนขาอ่อนแรง โดยพาไปทำบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรกในชีวิต พร้อมพาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล และขอรับความช่วยเหลือจากพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ด้านคุณตาวัย 69 ปี เผยสุดปลื้มเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ได้รับสวัสดิการจากรัฐเทียบเท่าคนชราและคนพิการทั่วไป
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อนาคินทร์ ภูจ่าพล โพสต์ภาพพร้อมข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังพาชายวัย 69 ปี นั่งรถเข็นเข้าไปทำบัตรประชาชนที่ห้องทะเบียน ที่ว่าการอำเภอยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นการถ่ายภาพทำบัตรประชาชครั้งแรกในชีวิตของชายวัย 69 ปี นอกจากนี้ยังได้พาไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล และขอรับความช่วยเหลือด้านสวัสดิการ กับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.กาฬสินธุ์ หลังจากนั้นได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้มีผู้เข้ามากดไลค์กดแชร์ แสดงความชื่นชมและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเกิดความสงสัยในประเด็นที่ว่า ทำไมชายวัย 69 ปีคนนี้ เพิ่งจะทำบัตรประชาชนเป็นครั้งแรก ทั้งๆที่ปัจจุบันให้สามารถทำบัตรประจำตัวประชาชนตั้งแต่อายุ 7 ปี จึงถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ไม่น่าจะเกิดขึ้น และช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไปทำอะไร อยู่ที่ไหน จึงไม่ไปทำบัตรประจำตัวประชาชน ทำให้โลกโซเชียลอยากทราบคำตอบ
ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อไปยังผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว พร้อมกับลงพื้นที่ จึงได้ทราบว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ โดยจากการสอบถามนายนาคินทร์ ทราบว่า ปกติก็จะโพสต์กิจกรรมการพัฒนา งานประเพณี รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชุมชนโพสต์ลงในเฟซบุ๊กอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่โพสต์เกี่ยวกับพาชายวัย 69 ปีไปทำบัตรประจำตัวประชาชนและติดต่อกับโรงพยาบาล รวมทั้งพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ฯ นั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติของตน ในการบริการ ให้ความช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ส่วนที่มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียล ในทำนองชื่นชม หรือเกิดความสงสัยในการทำบัตรประชาชนครั้งแรกนั้น ก็อธิบายได้
นายนาคินทร์ กล่าวว่า สำหรับกรณีพาลูกบ้านไปทำบัตรประชาชนครั้งแรกในชีวิตนั้น คือนายสำรี ภูอบเชย อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ทั้งนี้เริ่มจากเมื่อวันที่ 23 พ.ค.65 ที่ผ่านมา น.ส.ทองแดง ภูอบเชย อายุ 80 ปี พี่สาวนายสำรี ได้ไปพบตนที่บ้าน โดยเล่าว่าเมื่อวันที่ 20 พ.ค.65 ได้มีรถกู้ชีพและเจ้าหน้าที่ของ อบต.หลักเหลี่ยม อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ พานายสำรี น้องชาย ซึ่งมีสภาพร่างกายอ่อนแอ แขน ขา อ่อนแรง ช่วยเหลือตนเองไม่ได้มาส่งที่บ้าน จึงได้มาขอคำปรึกษา เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เนื่องจากฐานะยากจน ไม่มีที่ทำกิน อาศัยอยู่บ้านไม้ในซอยลึกกลางหมู่บ้าน ซึ่งมีสภาพเก่าทรุดโทรม ปัจจุบันอยู่กัน 3 คน คือน.ส.ทองแดง ลูกชายวัย 47 ปี และที่เข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันคือนายสำรีน้องชาย อายุ 69 ปี โดยน.ส.ทองแดง มีรายได้จากเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 800 บาท เบี้ยคนพิการทางสายตา 800 บาท และรายได้จากลูกชายที่ไปหารับจ้างทั่วไป ซึ่งรายได้ต่ำและไม่แน่นอน ตอนนี้ความเป็นอยู่ยิ่งลำบากมากกว่าเดิม เนื่องจากมีสมาชิกเข้ามาอาศัยเพิ่มอีก 1 คน คือนายสำรีหลังจากที่หายจากบ้านไปประมาณ 53 ปี
นายนาคินทร์ กล่าวอีกว่า พอได้ยิน น.ส.ทองแดงเอ่ยถึงชื่อน้องชายคือนายสำรี ทำให้ตนนึกขึ้นได้ว่าสมัยที่ตนยังเป็นเด็ก เคยเห็นนายสำรีอยู่ในหมู่บ้าน ก่อนที่จะหายออกจากหมู่บ้านไปหลายปี ซึ่งตนและชาวบ้านทุกคนต่างก็เข้าใจว่าคงจะเป็นบุคคลสูญหาย หรือเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อทราบข่าวการกลับมาของนายสำรี จึงได้ไปสอบถามข้อเท็จจริง ทราบว่านายสำรีออกจากหมู่บ้านเมื่ออายุประมาณ 16 ปี โดยไปหาทำงานรับจ้างทั่วไป เนื่องจากฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่มีลูกถึง 9 คน และไม่มีที่ทำกิน จึงเดินทางออกจากบ้านไปตะเวนหางานทำไปเรื่อยๆ ไม่มีหลักแหล่ง สุดท้ายมาได้ภรรยาที่ ต.หลักเหลี่ยม อ.นามน แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ล่าสุดภรรยาเสียชีวิต 4 เดือนต่อมาประสบอุบัติเหตุหกล้ม แขนขาอ่อนแรง จึงขอความช่วยเหลือจาก อบต.หลักเหลี่ยม นำขึ้นรถกู้ชีพมาส่งที่บ้านเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมาดังกล่าว
นายนาคินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมสมัยนั้นประชาชนคนไทยจะได้ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี เมื่อนายสำรีออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปี จึงไม่ได้ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน แต่ก็ยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ขณะที่ตัวนายสำรีกลายเป็นคนพเนจร เดินทางไปหารับจ้างทั่วไป และไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลย จนญาติและทุกคนในหมู่บ้านเข้าใจว่าเป็นบุคคลสูญหายหรือเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งญาติเองก็ยังไม่ได้แจ้งความคนหายแต่อย่างใด เพราะต่างคนก็ฐานะยากจน แยกย้ายทำมาหากิน ไม่มีทรัพย์สินมรดกที่จะแบ่งสันปันส่วน ระหว่างญาติพี่น้องเหมือนครอบครัวทั่วไป
“สาเหตุที่ตนโพสต์ภาพและข้อความดังกล่าวทางเฟซบุ๊ก นอกจากจะโพสต์ตามปกติที่ตนเคยโพสต์เป็นประจำแล้ว ยังอยากจะบอกกล่าวให้สังคมหรือกลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กได้ทราบว่า ที่นายสำรีหายจากหมู่บ้านไปประมาณ 53 ปีนั้น ยังมีชีวิตอยู่และได้กลับมาแล้ว ในสภาพของคนที่เข้าสู่วัยชราและสภาพร่างกายพิการ ไม่ได้มีเจตนาหรือเป็นประเด็นดราม่าอะไร ส่วนใครจะแสดงความคิดเห็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล เพราะตนเจตนาบริสุทธิ์และเอาใจใส่กับความเป็นอยู่ของลูกบ้านทุกคน” นายนาคินทร์กล่าวในที่สุด
ด้านนางเสาวคนธ์ ภูสีเหลี่ยม นักพัฒนาชุมชนชำนาญการ อบต.ดอนสมบูรณ์ กล่าวว่า หลังได้รับประสานจากผู้ใหญ่บ้าน ว่าลูกบ้านรายดังกล่าวเป็นผู้สูงอายุ สภาพร่างกายค่อนข้างพิการ ทางนายก อบต.ดอนสมบูรณ์ และปลัด อบต.ดอนสมบูรณ์ ได้มอบหมาย ให้ตนเข้ามาตรวจสอบ เพื่อนำข้อมูลเข้าระบบและหาแนวทางช่วยเหลือ และยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งในส่วนของสวัสดิการสูงอายุ และช่วยเหลือความพิการ ในการเคลื่อนไหว เช่น จัดหารถเข็น ซึ่งจะได้ประสานงานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.กาฬสินธุ์ ฝ่ายปกครองอำเภอยางตลาด และเหล่ากาชาด จ.กาฬสินธุ์ต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับการทำบัตรประชาชนครั้งแรกในชีวิตของนายสำรีวัย 69 ปี ถือเป็นเรื่องที่สร้างความฮือฮาในพื้นที่มากพอสมควร และเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ขณะที่นายสำรี ภูอบเชย อายุ 69 ปี กล่าวว่าว่า จากการที่ตนได้รับความช่วยเหลือจากนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง ในครั้งนี้ ทั้งพาไปทำบัตรประจำตัวประชาชน ตรวจสุขภาพ เพื่อที่จะได้รับสวัสดิการคนพิการ หรือสิทธิ์อื่นๆที่พึงมีพึงได้จากบริการของรัฐ จึงเหมือนกับเป็นการชุบชีวิตของตน ที่เคยเป็นคนร่อนเร่พเนจรได้มีหลักแหล่ง เป็นคนไทยที่โดยสมบูรณ์ มีสิทธิเหมือนประชาชนคนไทยทุกประการ ทุกวันนี้จึงเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ขอขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน คุณหมอ อบต.ดอนสมบูรณ์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ฯ และทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือตนในครั้งนี้
ทีมข่าวกาฬสินธุ์