ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
สื่อสาร - คมนาคม ย้อนกลับ
บีทีเอสทวงเงิน4หมื่นล้านกทม.เบี้ยวมา5ปีแล้ว
20 ก.ค. 2565

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปิดเผยว่า ขณะนี้ BTSC ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่เดือน เม.ย.60 รวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท อันเนื่องมาจากการไม่ได้รับชำระค่าจ้างจากการเดินรถ และบำรุงรักษา (O&M) ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 (ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า) และส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และค่าติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจประสบกับความยากลำบากมากขึ้น ต้องมีการกู้เงินมาใช้จ่ายจำนวนมาก

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า อีกทั้งวิกฤติโควิด -19 ที่เกิดขึ้นทำให้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณผู้โดยสารลดลงอย่างมาก แต่ BTSC ไม่เคยคิดหยุดให้บริการ พร้อมดูแลผู้โดยสารทุกพื้นที่สถานี และจัดขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสให้บริการอย่างเพียงพอ แม้รู้ว่ารายได้ที่เข้ามาอาจไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการ ที่สำคัญตลอดระยะเวลาการบริการตั้งแต่ปี 42 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 23 ทาง BTSC ปรับขึ้นค่าโดยสารเพียง 3 ครั้ง และทุกครั้งที่ปรับค่าโดยสารก็เป็นอัตราที่ต่ำกว่าเพดานค่าโดยสารที่ได้รับอนุมัติจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อต้องการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าโดยสารให้แก่ประชาชน

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า เมื่อเปิดให้บริการช่วงแรก 23 สถานี ระยะทาง 23.5 กิโลเมตร(กม.) ในปี 42 คิดอัตราค่าโดยสาร 10-40 บาท แต่เพดานค่าโดยสารสูงสุดที่ กทม. กำหนดไว้ให้คือ 15-45 บาท และการปรับขึ้นค่าโดยสารทั้ง 3 ครั้ง แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 ปี 50 ปรับค่าโดยสารเป็น 15 - 40 บาท จากเพดานค่าโดยสารที่ได้รับอนุมัติ 18.79 - 56.36 บาท, ครั้งที่ 2 ปี 56 ปรับค่าโดยสารเป็น 15 - 42 บาท จากเพดานค่าโดยสารที่ได้รับอนุมัติ 20.11 - 60.31 บาท และครั้งที่ 3 ปี 60 ปรับค่าโดยสารเป็น 16 - 44 บาท จากเพดานค่าโดยสารที่ได้รับอนุมัติ 21.52 - 64.53 บาท

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการทำสัญญาจ้าง BTSC เดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ไปจนถึงปี 85 นั้น เพราะต้องการให้เกิดการเดินทางแบบไร้รอยต่อ โดยที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนขบวน ซึ่งทุกฝ่ายในคณะทำงานขณะนั้น เห็นว่าการว่าจ้างเป็นระยะเวลาดังกล่าวมีความเหมาะสม เนื่องจากหากว่ามีการจ้างในระยะเวลาสั้นกว่านี้ เช่น ให้การจ้างสิ้นสุดในปี 72 พร้อมกับสัมปทานในส่วนเส้นทางหลัก ค่าจ้างเดินรถต่อปีก็จะสูงกว่านี้ เพราะค่าใช้จ่ายที่เป็นการลงทุนของ BTSC เช่น ขบวนรถไฟฟ้า จะต้องหารด้วยจำนวนปีที่น้อยลง เป็นต้น โดยในส่วนต่อขยายที่ 1 ได้ลงนามเป็นระยะเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี 55 – 85

และส่วนต่อขยายที่ 2 ก็ได้ให้เหตุผลเดียวกัน เพราะต้องการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนใช้รถไฟฟ้าในเส้นทางเดียวกันได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้ลงนามในสัญญาทั้งสิ้น 25 ปี ตั้งแต่ปี 60 – 85 เพื่อให้สัญญาส่วนต่อขยายทั้งสองส่วนหมดอายุพร้อมกัน ซึ่งในระหว่างการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายที่ 2 ก็ยังไม่มีการเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้โดยสาร และ KT ก็ไม่ได้จ่ายค่าจ้างเดินรถ จนเกิดเป็นหนี้ที่เพิ่มขึ้นดังที่กล่าวมาข้างต้น

นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า BTSC ขอยืนยันว่า พร้อมเจรจากับทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาทั้งหมด หากอยู่บนเงื่อนไขของความถูกต้อง และอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมและรักษาสัญญาที่มีต่อกัน เพราะในฐานะที่เป็นบริษัทลูกของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นประชาชนร่วมลงทุนอยู่จำนวนกว่า 101,700 ราย รวมถึงมีเจ้าหนี้ที่ให้เงินกู้แก่ BTSC มาประกอบธุรกิจอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมา BTSC ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นเรื่องสัญญาให้บริการเดินรถระหว่างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) และ BTSC มีข้อสัญญาเรื่องรักษาความลับอยู่นั้น เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่จะกำหนดในสัญญาระหว่างภาครัฐกับเอกชน เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองและป้องกันความเสียหายจากการใช้ข้อมูลของคู่สัญญา ทั้งฝ่ายรัฐและเอกชน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน โดยข้อสัญญารักษาความลับนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการตรวจสอบความโปร่งใสและทุจริต เนื่องจากข้อสัญญารักษาความลับได้กำหนดข้อยกเว้นให้สามารถเปิดเผยข้อมูลในสัญญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือตามคำสั่งของหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 55 BTSC ก็รับทราบว่า มีองค์กรอิสระ เช่น ปปช. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบและได้ไปซึ่งสัญญาให้บริการเดินรถฯ แล้ว อย่างไรก็ตาม ได้รับทราบจาก KT ว่า ได้ส่งมอบข้อมูลกับ กทม. แล้วในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ BTSC

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของ กทม. ที่จะพิจารณาว่าสามารถเปิดเผยอย่างไร และเพียงใดภายใต้ข้อสัญญารักษาความลับดังกล่าว แต่ BTSC ขอเรียนว่า เนื่องจากข้อมูลบางส่วนในสัญญาเป็นข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า และสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จึงต้องมีความระมัดระวังในการเปิดเผย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากจำเป็นต้องมีการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญดังกล่าว ก็ควรเปิดข้อมูลในสัญญาของทุกๆ โครงการเฉกเช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน

นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนแนวทางการขยายสัมปทานออกไปอีก 30 ปี ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้เป็นข้อเสนอที่เกิดขึ้นจาก BTSC แต่เป็นผลของการเจรจากับคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของ กทม. ซึ่ง BTSC เห็นว่า สามารถดำเนินการได้และเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย จึงได้รับที่จะมีการแก้ไขสัญญา เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว BTSC ขอเรียนว่า ขณะนี้ BTSC ต้องการเพียงให้มีการชำระหนี้ที่ค้างชำระกว่า 4 หมื่นล้านบาท เพื่อไปใช้ในการดำเนินกิจการ และชำระหนี้ของ BTSC ซึ่งเกิดขึ้นจากโครงการนี้ ทั้งนี้ BTSC ได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ซึ่งได้รับทราบจากทาง KT ว่า อยากที่จะมีการตกลงชำระหนี้ดังกล่าวโดยไม่ต้องรอคำพิพากษาของศาลฯ โดยเร็วที่สุด.

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...