ปัจจุบันที่รุกคืบสื่อใหม่เข้ามาขยายพื้นที่ในชีวิตประจำวันของผู้คนกันมากขึ้น และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนยุคดิจิตอลมากขึ้น ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารรูปแบบเดิมๆ ที่คุ้นชินกันอย่าง โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นพับ โบชัวร์ บิลบอร์ด ใบปลิว มาเป็น สื่อใหม่ ๆ อย่าง Facebook , Twitter , Youtube, Digital magazine , หรือนิวมีเดียต่างๆ ที่กำลังขับเคลื่อนพลังผู้บริโภคให้เข้ามามีส่วนกำหนดทิศทางของธุรกิจต่างๆ อย่างทุกวันนี้ ว่าจะกลายเป็นสื่อที่เปิดอีกมิติหนึ่งของโลกยุคใหม่หรือเปล่า เมื่อกติกาเปลี่ยน บริบทโลกใหม่ทุกวันนี้ กำลังเข้าสู่ยุค Digital Media ที่ทรงอิทธิพลและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแรงกระเพื่อมของพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีส่วนกำหนดทิศทางของเสียงมหาชนผ่านเครื่องมืออย่าง สมาร์ทโฟน แทบเลต ที่รวดเร็วในการแชร์ หรือรับชม
ในอดีตสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อเก่าที่มีการผูกขาดทางอำนาจสื่อไว้มากที่สุด เพราะสื่อสารผ่านทั้งภาพและเสียง และแพร่หลายกระจายเข้าไปยังเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ สามารถใช้เป็นตัวแทนของสื่อเก่าที่สื่อสารทางเดียวไปสู่ผู้บริโภคอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าสถานีโทรทัศน์จะปรับตัวให้ผู้บริโภคสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับรายการได้มากขึ้น เช่น การส่งข้อความเข้าไปร่วมพูดคุยในรายการ การร่วมตอบคำถามเพื่อชิงของรางวัล แต่ปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นก็ถือว่าเปิดโอกาสน้อยมากสำหรับผู้บริโภคที่มีจำนวนมหาศาล สามารถเข้าถึงได้ยาก และกลไกการทำงานก็ไม่มีการเปิดเผยที่ชัดเจน นอกจากนั้นยังมีความผูกพันกับผลประโยชน์ด้านการค้าอย่างแนบแน่น วัดจากปริมาณโฆษณาที่ออกอากาศ ดังนั้นการบริโภค ข่าวสารทางสื่อโทรทัศน์ ผู้บริโภคจึงไม่มีโอกาสแสดงความเห็นต่าง เป็นเพียงผู้รับสารเท่านั้น
แต่โลกในปัจจุบันเป็นยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารเปิดกว้าง มนุษย์สร้างสรรค์เครื่องมืออิเล็กทรอนิคต่างๆ ขึ้นมารองรับความสะดวกสบายมากมาย เช่น สมาร์ทโฟน แทปเลต เครื่องมือเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้มีทางเลือกในการเสพข่าวสารหลากหลายช่องทางมากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลที่สื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต พื้นที่ของสื่ออินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้สื่อใหม่กลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลด้วยฐานผู้ใช้ที่มีจำนวนมาก สามารถส่งต่อข้อมูลและแสดงความคิดเห็นอย่างรวดเร็ว เปิดกว้าง เทคโนโลยีสามารถทำลายเส้นแบ่งของบริบททางพื้นที่และเวลาลงได้ อีกทั้งในปัจจุบันอยู่ในยุคของ “การหลอมรวมสื่อ” Media Convergence ที่มีพัฒนาการไปถึงระดับที่สามารถรวมหน้าที่การทํางานในการสื่อสารต่างๆไว้ในอุปกรณ์เดียวกัน อุปกรณ์สื่อสารหนึ่งๆสามารถทําการสื่อสารได้มากกว่าหนึ่งหน้าที่ และบรรจุสาระเนื้อหา Contents ได้มากกว่าหนึ่งประเภท เช่น ผู้บริโภค สามารถดูรายงานข่าวโทรทัศน์กระจายเสียงได้จากสมาร์ทโฟน และส่งอีเมล์ไปหาเพื่อนที่เดินทางไปต่างประเทศได้ เป็นต้น การหลอมรวมเข้าด้วยกันของสื่อจึงส่งผลให้การแบ่งแยกประเภทของสื่อใหม่ในปัจจุบันทําได้ยากยิ่งขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ในมิติของการโฆษณาสินค้าของบริษัทต่างๆ ก็เริ่มหันมาสื่อสารการตลาดผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เพราะใช้ต้นทุนน้อย สามารถสื่อสารไปยังผู้บริโภคได้โดยตรงและวัดผลได้ง่าย
และจากท่ามกลางกระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลหลายแห่งมีผลประกอบการขาดทุนและภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมยังไม่ดีขึ้นส่งผลต่อกิจการของสถานีโทรทัศน์ในอนาคตมากยิ่งขึ้น ยังไม่นับรายการข่าว ที่แทบไม่แตกต่างอะไรกับช่องฟรีทีวี ที่ไม่มีไม่มีการนำเสนอเนื้อหาประเด็นแหลมคม หรือประเด็นผลประโยชน์สาธารณะ ทำให้ประชาชนเบื่อและแสวงหาช่องใหม่ๆ ในการชมรับชม รวมทั้งการปิดตัวของสิ่งพิมพิมพ์บางฉบับหรือการปลดพนักงานเพื่อลดต้นทุนองค์กรเพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน และการเปลี่ยนบทบาทจากสื่อสิ่งพิมพ์สู่การเป็นสำนักข่าวออนไลน์
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา ระบุว่า บริษัท ทริปเปิลวีบรอดคาสต์ จำกัด เจ้าของสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี มีนโยบายดำเนินโครงการลาออกด้วยความสมัครใจผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเข้าร่วมโครงการของพนักงาน โดยผลการพิจารณาของประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจถือเป็นที่สิ้นสุด และเป็นข้อยุติพนักงาน ไม่สามารถขออุทธรณ์ หรือขอให้ทบทวนผลการพิจารณา ซึ่งพนักงานที่ได้รับการอนุมัติจากประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจให้ออกตามโครงการแล้ว และถอนเรื่องคืนหรือยกเลิกไม่ได้โดยตั้งเป้าลดพนักงานร้อยละ 15 จากจำนวนพนักงานทั้งหมดประมาณ 700 คน
ประกอบกับข้อมูลสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ที่เผยตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาปี 2559 สื่อดิจิทัลอยู่ที่ 9,150 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 8,084 ล้านบาท สถานการณ์ดังกล่าว ตรงกันข้ามกับ “สื่อสิ่งพิมพ์” ที่กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างชัดเจน โดยการใช้จ่ายเงินผ่านสื่อ “หนังสือพิมพ์” ติดลบ 20% ขณะที่ “นิตยสาร” ติดลบ 31.4%