โลกของจีน โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
มหาศึกแผ่นดินใหญ่
เมื่อโควิดไม่เป็นศูนย์
ตอนบทเข้มก็เข้มแบบสุดโต่ง ตอนจะคลายก็คลายกันง่ายๆจนงงกันทั้งประเทศ
สไตล์การปกครองของ “จีนแผ่นดินใหญ่” หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นศูนย์กลางของอำนาจ และบนยอดสุดของอำนาจคือ “ท่านผู้นำ” ที่สามารถชี้นิ้วบงการว่าจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร
เมื่อเริ่มแรกที่เกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสมหันตภัยที่เมืองอู่ฮั่น ติดแล้วมีอาการรุนแรงเสียชีวิตง่าย แล้วลามจากอู่ฮั่นไปสู่เมืองอื่นๆ ท่านผู้นำสี จิ้นผิง เชื่อว่าหากไม่ควบคุมอย่างเข้มงวดเด็ดขาดเชื้อจะลามไปทั่วประเทศ ตอนนั้นยังไม่ทันพัฒนาวัคซีนขึ้นมาสู้ ประชากร 1,400 ล้านคนคงป่วยและตายเป็นใบไม้ร่วง จึงตัดสินใจล็อคดาวน์ทีละเมืองและ “ปิดประเทศ” พร้อมประกาศนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” เพื่อหวังเอาชนะเชื้อโควิด-19 ที่มาประกาศชื่อกันภายหลัง
แม้การคุมเข้ม 3 ปีจะมีผลต่อการใช้ชีวิตของประชาชน จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและกระทบกระเทือนการค้าขายของโลก แต่ถือว่าจีนประสบความสำเร็จในการรักษาชีวิตของพลเมืองตนเอง ได้ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาที่มีประชากร 332 ล้านคน แต่ตายเพราะโควิดมากกว่า 1 ล้านคน หรือประเทศไทยที่มีประชากร 70 ล้านคน ตายไป 33,505 คน เพราะช่วง 3 ปี ชาวจีนบนแผ่นดินใหญ่ ตายเพราะโควิดเพียง 5,241 คนเท่านั้น
แต่การถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้านนานๆ การขาดอิสรภาพที่จะได้กินได้เที่ยว หรือการต้องถูก “แยงจมูก”ตรวจหาเชื้อโควิดแทบทุกวันในพื้นที่เสี่ยง มันเริ่มจะเป็นสิ่งที่รับไม่ได้แม้ในสังคมคอมมิวนิสต์ที่ประชาชนไม่เคยปฏิเสธคำสั่งจากรัฐบาล ในที่สุดจึงระเบิดออกมาเป็นการประท้วงนโยบายโควิดเป็นศูนย์เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
รัฐบาลปักกิ่งที่ไม่เคยยอมรับเสียงการประท้วงจากนักศึกษาและประชาชนที่ต่อต้านนโยบายรวมศูนย์ แต่ครั้งนี้กลับยอมผ่อนคลายมาตรการควบคุมกันแบบง่ายๆ ทั้งๆที่รู้ว่าอะไรจะเกิดตามมาโดยเฉพาะในช่วง “ตรุษจีน” ซึ่งในยามปกติก่อนเกิดโควิด คนจีนรู้ดีว่าจะเป็นอภิมหาโกลาหลแห่งการเดินทางของมนุษยชาติทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน ที่มิอาจหาบ้านอื่นเมืองใดมาเปรียบเทียบได้
เทศกาลตรุษจีน ที่ชาวจีนเรียก “ชุนเจี๋ย” คือช่วงสิ้นฤดูหนาวเข้าสู่ ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มต้นฤดูเพาะปลูก เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่ยาวนาน เป็นวันหยุดตามประเพณีที่สำคัญที่สุดในประเทศจีน เป็นวันรวมญาติ เซ่นไหว้บรรพบุรุษ และยังเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สื่อจีนเคยรายงานสถิติการเดินทางภายในประเทศของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก่อนเกิดโควิดว่า ยอดผู้เดินทางรวมทุกเส้นทางสูงถึง 385 ล้านคน
นี่ยังไม่รวมผู้เดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศซึ่งคาดว่าน่าจะมียอดรวมอีกนับสิบล้านคน
ยามปกติรัฐบาลก็ต้องเตรียมการรับมือกับ “ช่วงเวลาของการเดินทางแห่งชาติ”ที่แสนจะวุ่นวายอยู่แล้ว แต่ช่วงเทศกาลชุนเจี๋ยปี 2023 ยังต้องเพิ่มมาตรการรับมือเชื้อโควิด-19 ที่จะกลับมาระบาดหนักอีกครั้งอย่างแน่นอน
เพราะหลังจากที่จีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสก็พุ่งขึ้นทันตาเห็น คนจีนแห่ไปพบแพทย์ตามโรงพยาบาลและคลินิกจนเกินกำลังจะรับมือ จนเกิดภาพที่แชร์นัดไปทั่วโลก เช่น ภาพผู้ป่วยนั่งล้อมวงรับยาทางสายน้ำเกลือ ภาพผู้ป่วยนั่งรับยาทางสายน้ำเกลือในรถของตัวเอง ซึ่งยิ่งสร้างความตื่นตระหนกแก่คนทั้งประเทศ
สถานการณ์ที่เคยเกิดในไทยและหลายๆประเทศช่วงโควิดระบาดระยะแรกกำลังเกิดในประเทศจีนคือ ชาวบ้านแห่ตุนยาแก้ไอ ยาแก้ไข้ ชุดตรวจโควิด ATK หน้ากากอนามัย และอีกสารพัดที่เชื่อว่าจะช่วยเหลือตัวเองและครับครัวจากโควิด-19 ที่กำลังระบาดพร้อมกับข่าวลืออีกมากมาย
นักวิชาการด้านการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาที่ติดตามสถานการณ์ในจีนออกมาแสดงความคิดเห็นว่าการที่จีนยกเลิกมาตรการเข้มข้นแบบฉับพลันจะทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมหาศาลหรือที่เรียกว่า “สึนามิผู้ติดเชื้อโควิด” สาเหตุสำคัญคือแรงงานเดินทางกลับบ้านหรือการออกท่องเที่ยวช่วงตรุษจีน โดย 1 ใน 3 ของประชากรจะติดเชื้อ และอาจจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 ล้านคนในปี 2023