ข่าวด่วน! "บางจาก" ทุ่ม 2.2 หมื่นล้าน เทคโอเวอร์ "เอสโซ่" ปิดดีลซื้อหุ้น 65% จาก EXXON ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นนี้ขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของเงื่อนไขต่างๆ รวมถึงการได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า
กรณีข่าวร้อน บางจากเทคโอเวอร์เอสโซ่ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (EESO) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ในเช้าวันนี้ว่า บริษัทฯได้รับแจ้งจากบริษัทเอ็กซอนโมบิล เอเชีย โฮลดิ้ง พีทีอี แอลทีดี (EXXON) ผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งถือหุ้นในบริษัทฯ จำนวนร้อยละ 65.99 ดังต่อไปนี้
เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 เอ็กซอนโมบิล ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อขายหุ้นที่ซื้อขายทั้งหมดที่เอ็กซอนโมบิลถืออยู่ในบริษัทฯ ให้แก่บางจากฯ ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น
โดยการทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นนี้ จะไม่รวมการได้ไปซึ่งธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปภายใต้ตรา ExxonMobil และ OEM (ผู้ผลิตอุปกรณ์เดิม - Original Equipment Manufacturer) (ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูป) และธุรกิจการตลาดเคมีภัณฑ์ภายใต้ตรา ExxonMobil (ธุรกิจการตลาดเคมีภัณฑ์) โดยเอ็กซอนโมบิลได้ระบุว่าเอ็กซอนโมบิลตั้งใจที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อประกอบธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทย
ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นนี้ขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งรวมถึงการได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง (หากมี) เช่น กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า
เอ็กซอนโมบิลคาดว่าธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะเป็นผลสำเร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 อย่างไรก็ตามการดำเนินการให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเป็นผลสำเร็จอาจใช้ระยะเวลาถึง 12 เดือน
เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุม (Change in Control) เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น จะส่งหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้า (Trademark License Agreement)มายังบริษัทฯ โดยให้การเลิกสัญญามีผลในวันที่เป็นผลสำเร็จตามสัญญาซื้อขายหุ้นและจะทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าแบบไม่เป็นผู้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Non-ExclusiveTransitional Trademark License Agreement) กับบริษัทฯ ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันที่เป็นผลสำเร็จ
ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถใช้ตรา "ESSO" และเครื่องหมายการค้าอื่นๆได้อย่างจำกัดสำหรับธุรกิจการตลาดขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง (ซึ่งรวมถึงโปรแกรมการตลาดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (fuel marketing programs) loyalty programs บัตรเครดิต (cardprograms)) เพื่ออำนวยความสะดวกในการที่บริษัทฯ จะเปลี่ยนไปใช้ตราใหม่หลังจากวันที่เป็นผลสำเร็จ
บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าหลังจากการบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้ามีผลบังคับในวันที่เป็นผลสำเร็จ บริษัทฯ จะไม่สามารถใช้ตราและเครื่องหมายการค้าใดๆ ของเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่นได้ และการใช้ตรา "ESSO"หลังจากวันที่เป็นผลสำเร็จจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าแบบไม่เป็นผู้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Non-Exclusive Transitional Trademark License Agreement)
หากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเป็นผลสำเร็จ บางจากฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ แทนเอ็กซอนโมบิล โดยเข้าถือหุ้นในบริษัทฯ จำนวนร้อยละ 65.99 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั้งหมดของบริษัทฯซึ่งส่งผลให้บางจากฯ จะมีหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดของบริษัทฯ
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนครั้งดังกล่าวนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง
ทั้งนี้ จะก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น รวมถึงได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ
นอกจากนี้ จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี โดยจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
สำหรับการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น
อย่างไรก็ดี หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/2565 ของเอสโซ่ จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น (คาดใช้เงินราว 20,188 .35 ล้านบาท ) โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้