โลกของจีน โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
จีนกลับมาแล้ว
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ได้ออกประกาศยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากนอกประเทศเข้าจีน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไปหลังจากได้ใช้มาตรการเข้มข้นมานับตั้งแต่ปี 2563 ตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เหตุผลของการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวเนื่องจาก NHC มีมติปรับแนวทาง Zero-COVID เป็นการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไวรัสแทน เพราะพบว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนที่ระบาดในปัจจุบันมีความรุนแรงน้อยลง โอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะมีอาการปอดอักเสบนั้นพบเคสน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเดินทางเข้าจีนยังคงต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19แบบ PCR แสดงผลก่อนขึ้นเครื่องจากประเทศต้นทางเป็นเวลา 48 ชั่วโมง โดยไม่ต้องส่งผลไปยังสถานทูตหรือสถานกงสุลจีนเพื่อลงทะเบียนรหัสตามระเบียบเดิม
ช่วงที่จีนตัดสินใจปิดประเทศใช้นโยบาย Zero-COVID เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดนั้น นานาชาติรวมทั้งสหรัฐฯเรียกร้องให้จีนเปิดประเทศเพราะส่งผลกระทบหนักต่อระบบเศรษฐกิจโลก แต่พอจีนลดความเข้มงวดประกาศเปิดประตูรับคนนอกเข้า-จะให้คนในออก หลายประเทศตกใจพากันยกการ์ดสูงตั้งเงื่อนไขคนจีนเข้าประเทศ กลับลำมองจีนเป็น “ปัจจัยเสี่ยง”ว่าจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง
นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าหลัง “ตรุษจีน”ปีนี้ซึ่งมีการเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวกันมาก คนจีนจะติดเชื้อไวรัสกันมาก จะมีผลบั่นทอนระบบเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แล้วผลกระทบนั้นจะส่งต่อเป็นลูกระนาดไปยังภูมิภาคและต่อโลก
ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ(โดยเฉพาะชาติตะวันตก) ประเมินว่าแต่ละวันจีนมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน รวมถึงคาดว่าปี 2023 จีนอาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดอย่างน้อย 1 ล้านคน
บริษัทข้อมูลด้านสาธารณสุขอังกฤษรายหนึ่งระบุว่า อาจมีประชาชนเสียชีวิตราว 9,000 คนต่อวันในจีน เนื่องจากโควิด-19
สำนักข่าวใหญ่ของอังกฤษ 2 แห่งอ้างแหล่งข่าววงในของ NHC โดยระบุว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2023 ที่รัฐบาลปักกิ่งเริ่มผ่อนคลายมาตรการโควิด มีชาวจีนที่อาจติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่สูงถึง 250 ล้านคน หรือประมาณ 18% ของประชากรจีน 1,400 ล้านคน ซึ่งถ้าเป็นจริงถือเป็นเรื่องน่ากลัวมาก
แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่ปรากฏบุคคลหรือข้อมูลใดมายืนยันหรือรับรองว่าข่าวดังกล่าวไม่ใช่ “ข่าวโคมลอย”
อย่างไรก็ตามที่ปรากฏแน่คือการปั่นข่าวการแพร่ระบาดเชื้อโควิดในจีนแผ่นดินใหญ่สามารถปลุกกระแส “รังเกียจจีน”ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและบรรดาชาติพันธมิตรที่เกรงกลัวจีน
ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2023 เป็นต้นมา สหรัฐฯบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า จะต้องมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นลบไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศเพื่อชะลอการระบาดในประเทศ
รัฐบาลสหราชอาณาจักรโดยกระทรวงสาธารณสุขออกมาขานรับลูกพี่ใหญ่ทันควันด้วยการออกประกาศว่า ผู้เดินทางมาจากจีนตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2023 ต้องตรวจหาเชื้อโควิดก่อนออกเดินทาง และตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม หน่วยงานด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขจะสุ่มตรวจโควิดผู้เดินทางที่มาจากจีน
สหภาพยุโรป(EU)ออกแถลงการณ์ว่า ผู้โดยสารที่เดินทางออกจากประเทศจีนจะต้องแสดงผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบก่อนเดินทางเข้าไปยัง 27 ประเทศในสหภาพยุโรป และในระหว่างเที่ยวบินอาจถูกขอให้สวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งอาจถูกสุ่มตรวจเมื่อเดินทางถึงประเทศปลายทาง
แคนาดาและออสเตรเลีย ก็ออกคำสั่งให้มีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนขึ้นเครื่องบิน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากจีน ฮ่องกงและมาเก๊า
ญี่ปุ่น แม้จะเป็นประเทศที่มีผลสำรวจพบว่าชาวจีนอยากไปท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 1 หลังโควิด แต่รัฐบาลญี่ปุ่นมีประกาศตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2022 ว่า ผู้ที่เดินทางมาจากจีนจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองที่สนามบิน หากพบว่าผลตรวจเป็นบวกและมีอาการป่วยจำเป็นต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วัน หากไม่มีอาการต้องกักตัว 5 วัน อีกทั้งยังคงเข้มงวดในเรื่องจำนวนเที่ยวบินจากจีนที่แม้จะมีความต้องการเพิ่มขึ้น
อินเดีย ชาติที่จำนวนประชากรจะแซงหน้าจีนในปีนี้ เกิดแรงกดดันจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านให้รัฐบาลออกมาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางจากมาจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย ต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ และหากพบว่ามีอาการป่วย หรือผลตรวจเป็นบวก ต้องกักตัวตามกำหนด
ไต้หวัน ดินแดนของจีนที่ถูกตะวันตกแทรกแซง ประกาศว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเครื่องบินและเรือจากจีน จะต้องตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคมหากพบว่าผลตรวจเป็นบวกสามารถแยกกักตัวที่บ้าน
“โมร็อกโก” ชาติในแอฟริกา ถึงขนาดสั่งห้ามผู้ที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ ไม่ว่าจะมีสัญชาติใดก็ตาม เดินทางเข้าประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมเป็นต้นไป เพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
มาตรการป้องกันโควิดที่พุ่งเป้ามายังจีนดังกล่าวมีผลให้รัฐบาลจีนต้องออกแถลงการณ์ประณามประเทศต่าง ๆพร้อมเตือนว่า “อาจเจอมาตรการตอบโต้”
เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงต่อสื่อมวลชนว่า การที่บางประเทศวางข้อจำกัดในการเข้าประเทศที่มุ่งเป้ามาที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น นับเป็นการขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งจีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
สำหรับประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายต้นๆที่ชาวจีนอยากมาเยือนนั้น รัฐบาลแสดงจุดยืนชัดเจนว่า “ยินดีต้อนรับอย่างเป็นมิตร” โดยฝ่ายสาธารณสุขของไทยยึดหลักปฏิบัติกับผู้เดินทางจากทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน
ฝ่ายสาธารณสุขไทยประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนคงไม่ได้หลั่งไหลมาไทยพร้อมๆกันอย่างเมื่อก่อน มีการคาดการณ์ว่าเดือนมกราคมแม้จะตรงเทศกาลตรุษจีนแต่คงมาเพียง 4 หมื่นคน เดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 5 หมื่นคน และจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในไตรมาสสองหรือช่วงครึ่งปีหลัง
เคยมีรายงานผลสำรวจชาวจีนว่า เมื่อเปิดประเทศแล้วชาวจีนมากกว่า 50% จะรอดูสถานการณ์ไปก่อนหลายเดือนหรือเป็นปีแล้วค่อยตัดสินใจเดินทางต่างประเทศอีกครั้ง
ผลวิจัยอีกชิ้นระบุว่า การเดินทางออกต่างประเทศของชาวจีนจะยังไม่กลับสู่ระดับปกติจนกว่าจะถึงปี 2024
ฉะนั้น อย่าเพิ่งฝันหวาน