พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า สัปดาห์นี้จะเสนอเรื่องต่อ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อพิจารณาเรื่องการสืบสวนสอบสวน พบตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จำนวน 110 นาย ร่วมกระทำการทุจริตในลักษณะขบวนการ หรือรูปแบบบริษัทย่อยๆ ในการออกวีซ่าให้กับกลุ่มชาวต่างชาติ รวมถึงกลุ่มชาวจีนสีเทาที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย
สำหรับพฤติการณ์ตำรวจกลุ่มดังกล่าว มีการปลอมลายเซ็นของรองผู้ว่าราชการจังหวัด และฉกฉวยโอกาสช่วงสถานการณ์โควิดอำนวยความสะดวกการต่อวีซ่า โดยใช้ภาพถ่ายบุคคลต่างด้าวแทนการแสดงตัวตนจริงต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องจึงถือเป็นการกระทำผิดในข่ายมาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและความผิดมาตรา 149 ฐานเรียกรับผลประโยชน์
ส่วนพื้นที่ที่พบการกระทำความผิดอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มกระทำผิดตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2565 โดยใช้เอกสารรับรองจากมูลนิธิว่าเป็นอาสาสมัคร หรือจากสถานศึกษารับรองว่าเป็นนักศึกษาในการขอต่อวีซ่า ทั้งที่ความจริงมีการทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการเข้าไปเป็นอาสาสมัครและนักเรียน
ส่วนการสอบสวนยังไม่พบหลักฐาน รวมทั้งเส้นทางการเงินที่โยงไปยังผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองคนปัจจุบัน และ จากข้อมูลพบว่าตำรวจ 110 นายที่ร่วมกระทำความผิดมีระดับชั้นนายพลตำรวจ 3 นาย รวมทั้งผู้กำกับ สารวัตร และชั้นประทวน
การเสนอ ผบ.ตร.ครั้งนี้ เพื่อสั่งการให้ออกหมายเรียกมาสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเพื่อออกหมายจับตามลำดับ ขอย้ำว่าตำรวจ ตม.ทั่วประเทศมีกว่า 20,000 นาย พบกระทำผิดเพียง 100 นาย ถือว่าเป็นจำนวนไม่มาก
ด้าน พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บังคับบัญชาสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ระบุถึงประเด็นนี้ว่า จากข้อมูลทราบว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ภายหลังที่มีการปรับเฉพาะกล่าวหาทางอาญาแล้ว จึงจะดำเนินการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยตามขั้นตอน
ส่วนตำรวจ 110 นาย ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มชาวจีน ถือเป็นจำนวนที่มากเป็นประวัติศาสตร์ แต่ยืนยันจะไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิด ส่วนตัวในฐานะผู้บัญชาการและหัวหน้าหน่วยจะต้องแสดงความรับผิดชอบ กลับมาทบทวนจุดอ่อน เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก โดยอาจจะต้องแก้ไปทีละจุด และมองว่าการพบผู้กระทำผิดในหน่วยถือเป็นเรื่องดี จะได้รู้ว่าต้องแก้อะไรบ้าง แต่ไม่หวั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น