ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการสัมมนาการนำเสนอบทเรียนการทำงานชุมชนนำร่องร่วมกับทีมสหวิชาชีพในการคุ้มครองสวัสดิภาพของบุคคลในครอบครัว เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ประจำปี 2558 ซึ่งจัดโดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากบทเรียนการทำงานจากประชาสังคม นักวิชาการ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อการขับเคลื่อนเชิงนโยบายระดับพื้นที่และระดับนโยบายของภาครัฐ รวมถึงยกระดับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว เชิงบูรณาการ โดยมี นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร 50 สำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐและเอกชน ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และชุมชนต่างๆ ร่วมการสัมมนา ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

โอกาสนี้ รองผู้ว่าฯกทม. ได้บรรยายพิเศษถึงบทบาทของกรุงเทพมหานครกับการพัฒนารูปแบบการคุ้มครองสวัสดิภาพของบุคคลในครอบครัวในชุมชน เพื่อสร้างกลไกบูรณาการการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี รวมถึงบุคคลในครอบครัว ซึ่งสิ่งที่กทม.ได้ดำเนินการแล้วนั้น ได้แก่ การสำรวจข้อมูลชุมชนเพื่อเป็นข้อมูลความรู้และช่วยในการตัดสินใจต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น การประชุมเชิงปฏิบัติการผู้นำชุมชนและสมาชิกเพื่อสนับสนุนกลไกการทำงานของชุมชนในฐานะที่มีความใกล้ชิดกับสถาบันครอบครัวมากที่สุด และเป็นกลไกขับเคลื่อนรวมถึงป้องกันปัญหาให้เบาบางลง การตั้งคณะอนุกรรมการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ และการพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษา เป็นต้น โดยในปี 2558 กทม. จะเร่งพัฒนาศักยภาพชุมชนให้มีความเข้มแข็งและพัฒนาบุคลากรในชุมชนให้มีทักษะด้านการให้คำปรึกษาด้านปัญหาต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อเป็นศูนย์ช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว แบบบูรณาการ อีกทั้งจะเพิ่มจำนวนชุมชนนำร่องอีกกลุ่มเขตละ 5 ชุมชนต่อไป

รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวด้วยว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีนโยบายชัดเจนที่จะพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองแห่งความปลอดภัย เมืองแห่งการเรียนรู้ เมืองแห่งความสุข และเมืองแห่งโอกาสสำหรับทุกคน ดังนั้นจำเป็นต้องสำรวจภัยที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในชุมชนโดยตรง เช่น ภัยจากความรุนแรงในครอบครัว ภัยจากยาเสพติด เป็นต้น จากนั้นศึกษาปัจจัยที่ทำให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่หนทางแก้ไขอย่างเป็นกระบวนการและตรงเป้าหมายที่สุด ทั้งนี้ที่ผ่านมากทม. ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของชุมชนในกรุงเทพมหานครมาโดยตลอดเพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมกระบวนการแก้ไขปัญหาภายในชุมชน โดยให้ชุมชนคัดเลือกปัญหาที่มีความสำคัญที่สุดในแต่ละชุมชน อีกทั้งยังมีกองทุนป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยมีหน่วยงานต่างๆ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือ เช่น โรงพยาบาลในสังกัดกทม. ศูนย์บริการสาธารณสุข ศูนย์รับแจ้งเหตุชุมชน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในชุมชนด้านต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนจะส่งต่อไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง

อนึ่ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลตั้งแต่เดือน ม.ค. - ต.ค. 58 พบว่า มีสถิติการใช้ความรุนแรงกว่า 30,000 ราย แบ่งเป็นเด็กถูกกระทำ 19,000 ราย สตรี 12,000 ราย โดยร้อยละ 90 ของกลุ่มเด็กเป็นหญิงอายุระหว่าง 10-15 ปี ส่วนใหญ่ถูกทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งภายหลังจากดำเนินโครงการการทำงานชุมชนนำร่องร่วมกับทีมสหวิชาชีพในการคุ้มครองสวัสดิภาพของบุคคลในครอบครัว จำนวน 4 ชุมชนนำร่อง ได้แก่ ชุมชนซอยพระเจน เขตปทุมวัน ชุมชนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย ชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต และชุมชนบ้านคำกลาง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ พบว่า ปัจจัยกระตุ้นให้คนนิยมใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหานั้นกว่าร้อยละ 90 มาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผู้กระทำความรุนแรงส่นใหญ่เป็นชายที่มีฐานคิดจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ ที่มีการปลูกฝังจากการอบรมขัดเกลาในครอบครัวและสังคมไทย