ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คอลัมนิสต์ประจำอปท.นิวส์ ย้อนกลับ
สัมพันธ์จีน-อเมริกา ชาติหน้าคงเป็นมิตร
06 ก.ค. 2566

โลกของจีน โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

สัมพันธ์จีน-อเมริกา ชาติหน้าคงเป็นมิตร

ช่วงเวลา 4 ปี ในยุคสมัยของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างปัญหาเอาไว้มากมาย นอกจากจะปลุกระดม ปั่นหัวเรื่องชาตินิยม America First ก่อสงครามการค้ากับจีนเพราะค้าขายสู้ไม่ได้แล้ว ยังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติจนแทบไม่อาจมองหน้า

เมื่อโจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ โลกคิดว่าบรรยากาศการเมืองระหว่างประเทศน่าจะดีขึ้น ปัญหาความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจตะวันตก-ตะวันออกน่าจะคลี่คลาย เพราะท่าทีของไบเดนไม่บ้าหรือกร้าวร้าวอย่างทรัมป์ แต่ช่วงเวลา 2 ปีครึ่งในทำเนียบขาว นอกจากไม่แก้ไขแล้ว ยังกดดันให้สัมพันธ์จีน-อเมริกาเกือบไปถึงทางตัน 

ไบเดนเคยบอกไว้ตอนหาเสียงว่า “จะฟื้นจิตวิญญาณของอเมริกา จะฟื้นคืนประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรทั้งหลาย เพื่อฟื้นคืนสิ่งที่เป็นความแข็งแกร่งของประเทศ เพื่อทำให้อเมริกาเป็นที่เคารพทั่วโลกอีกครั้ง” 

นักวิเคราะห์หลายคนมองตรงกันว่า ภาพรวมของนโยบายต่างประเทศจะไม่เปลี่ยน ที่สำคัญที่สุดคือ ผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาด้วยสโลแกน America Must Lead Again 

4 ปี ของทรัมป์ได้ใช้ “จีน” เป็นจำเลยในทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศยังไง 2 ปีครึ่งของไบเดนก็ยังคงเดินหน้าต่อไป เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการที่อ้างเหตุผลและกฎกติกา

ต้นปี 2564 หลังนั่งเก้าอี้ทำเนียบขาวได้ไม่ถึง 3 เดือน ไบเดนแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อกล่าวถึงนโยบายด้านการต่างประเทศ ไบเดนส่งสัญญาณถึงจีนว่า “อย่าคิดจะเป็นผู้นำโลก” เพราะโลกต้องเลือกระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ และสหรัฐฯ จะพิสูจน์ว่า ประชาธิปไตยยังสามารถทำงานได้

ไบเดนเคยกล่าวถึงสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในช่วงแรกๆ ของการขึ้นดำรงตำแหน่งว่า เขาเป็นคนฉลาดคล้ายๆกับปูตินที่คิดว่า เผด็จการคือคลื่นแห่งอนาคต มองว่าประชาธิปไตยไม่เหมาะสมสำหรับโลกที่ซับซ้อน “จีนมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำโลก รวยที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดในโลก ซึ่งจะไม่มีทางเกิดขึ้นในยุคของผม”

ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ไบเดนปากรั่วในช่วงปราศรัยหาเสียงระดมทุนที่รัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า สี จิ้นผิงเป็น “ผู้นำเผด็จการ” แถมยังอ้างว่า ผู้นำจีนโกรธมากที่เครื่องบินรบสหรัฐฯ ยิง “บอลลูนสอดแนม” ของจีนตกขณะล้ำเข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ แต่จีนอ้างว่า เป็นบอลลูนตรวจอากาศที่เสียการควบคุม

เรื่องเครื่องบินรบสหรัฐฯ สอยบอลลูนตรวจอากาศของจีนเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสองประเทศอยู่พักใหญ่เมื่อต้นปี เป็นเรื่องที่สหรัฐฯ กล่าวหาจีนว่า ใช้เครื่องมือสอดแนมขณะที่จีนโต้กลับว่า สหรัฐฯ สร้างเรื่องขึ้นมาเอง ซึ่งตอนนั้นมีผลให้แผนการเยือนจีนของ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ต้องเลื่อนออกไปเกือบครึ่งปี

แล้วจู่ๆ ไบเดนก็หยิบเรื่องนี้มาพูดให้เป็นข่าวไปทั่วโลก ในขณะที่บลิงเคนกำลังเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ผู้นำสหรัฐฯ ด่าผู้นำจีนในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯอยู่ที่ปักกิ่งกำลังเข้าพบนายฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน  พบนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐ  และพบสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพื่อหวังฟื้นความสัมพันธ์ที่เย็นชาที่สุดในรอบหลายสิบปี

เป็นความพลาดพลั้งครั้งใหญ่ของผู้เฒ่าไบเดน หรือเป็นความตั้งใจทำให้โลกเห็นว่าอเมริกาไม่แคร์จีน

แม้กระทรวงการต่างประเทศของจีนจะออกมาแถลงโต้คำพูดของไบเดนว่า ไร้สาระและยั่วยุ แต่ผู้นำจีนก็ยังรักษามารยาททางการเมืองและไม่ปล่อยให้การเจรจาครั้งนี้พังทลายไปเปล่าๆ โดยสี จิ้นผิง กล่าวกับบลิงเคนว่า จีนหวังจะเห็นความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่แน่นแฟ้นและมั่นคง และเชื่อว่าทั้งสองประเทศ จะสามารถเอาชนะความยากลำบากต่างๆ ได้

การที่บลิงเคนได้นั่งคุยกับหวัง อี้ นักการทูตระดับสูงของจีนอย่างยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง สะท้อนว่า สองฝ่ายมีเรื่องต้องเคลียร์ใจกันมาก และการเจรจาครั้งนี้เพียงแค่การเริ่มต้นแสวงหาหนทางไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ตกต่ำที่สะสมต่อเนื่องในช่วง 6 ปีครึ่งของสองประธานาธิบดี

ประเด็นที่หวัง อี้ เน้นย้ำกับบลิงเคนเสมือนฝากให้เอากลับไปบอกกับไบเดนเป็นพิเศษคือเรื่อง “ไต้หวัน” ที่หวัง อี้กล่าวว่า "จีนไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมหรือยอมผ่อนปรน"  

จุดยืนของสองมหาอำนาจที่ต่างขั้ว ต่างลัทธิ ต่างอุดมการณ์ ต่างก็ชิงความเป็นผู้นำ แต่ขณะเดียวกันก็อาศัยฝ่ายตรงข้ามเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างคะแนนนิยม สร้างกระแสชาตินิยม สร้างเงื่อนไขในการพัฒนากองทัพ พัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ สร้างพันธมิตรกับนานาชาติในด้านความมั่นคง

สหรัฐอเมริกายอมรับ “จีนเดียว” ไม่ส่งเสริมให้ไต้หวันแยกตัวเป็นเอกราช แต่พร้อมจะยืนเคียงข้างไต้หวันในเรื่องประชาธิปไตย และยินดีอย่างยิงที่จะขายอาวุธให้ไต้หวันเพื่อปกป้องประชาธิปไตย หรืออีกนัยหนึ่งคือใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อเรื่องประชาธิปไตย

การเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี เมื่อปีที่แล้วในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งดูเหมือนเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ แต่ย้อนดูแล้วก็เหมือนปาหี่ที่สองฝ่ายต่างรู้กันอยู่ โดยสหรัฐฯ ได้ชูประชาธิปไตย  ส่วนจีนได้แสดงแสนยานุภาพในการซ้อมรบเหนือเกาะไต้หวัน

ส่วนอนาคตอันใกล้ก็ให้จับตานายเควิน แมคคาร์ธีย์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ที่ออกมาแสดงท่าทีว่า ต้องการไปเยือนไต้หวันกับเขาด้วย แล้วถ้าไปจริง จีนจะทำอย่างไร จะออกมาซ้อมรบอีกครั้งไหม                       

ว่ากันว่า การเยือนจีนของบลิงเคนเป็นการปูทางสู่การประชุมทวิภาคีของสองมหาอำนาจอีกหลายนัด เช่นแผนการเยือนจีนของนางเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือนางจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์             

โดยเฉพาะการปูทางสู่การเยือนกรุงวอชิงตันของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมต่อจากประเทศไทย และโจ ไบเดน จะต้องทำหน้าที่รับแขกเมืองจากเหล่าชาติสมาชิก    

ขณะเดียวกันก็จะอาศัยเวทีนี้ในการตอกย้ำความเป็นผู้นำโลก และหาเสียงให้แก่ตนเองสำหรับการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง

วันนี้ไบเดนอายุ 80 ปีแล้ว และเริ่มแสดงอาการ “หลง” แต่เขาได้ประกาศแล้วว่าจะลงชิงตำแหน่งอีกครั้งในปี 2024 แม้หลายคนมองด้วยความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและคะแนนนิยมที่เริ่มตกต่ำ จากความล้มเหลวในการบริหารด้านเศรษฐกิจ หรือเอางบประมาณไปทุ่มเรื่องสงครามตัวแทนนอกบ้าน

ไบเดนบอกว่าหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายมากมาย และ “งานของเขายังไม่เสร็จสิ้น” จึงต้องการสานต่อภารกิจไปอีก 4 ปีข้างหน้า

หนึ่งในภารกิจคงไม่พ้น “ทะเลาะกับจีน” ต่อไป เพราะประชาธิปไตยยังไงก็ไม่เอาเผด็จการ

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...