นายสราวุธ  ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า กรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 213 สาย สมเด็จ - สกลนคร จำนวน 2 โครงการ ระยะทางรวม 4.31 กิโลเมตร งบประมาณ 64 ล้านบาท แล้วเสร็จ และเปิดให้ประชาชนสัญจร ประกอบด้วย ทางหลวงหมายเลข 213 ตอนสร้างค้อ - สกลนคร ระหว่าง กม.154+192 - 156+250 ในพื้นที่ ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ระยะทาง 2.05 กิโลเมตร งบประมาณ 34 ล้านบาท และทางหลวงหมายเลข 213 ตอน สมเด็จ - สร้างค้อ ระหว่าง กม.97+300-99+560 ในพื้นที่ ตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ระยะทาง 2.26 กิโลเมตร งบประมาณ 29 ล้านบาท
สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 213 สาย สมเด็จ - สกลนคร เป็นการขยายผิวทางจากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็นขนาด 4 ช่องจราจร (ไป – กลับ ข้างละ 2 ช่องจราจร) กว้างช่องจราจรละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้างด้านละ 2.5 เมตร และ ช่วง กม.154+000 - 155+700 (ช่วงองค์พระพุทธลีลามิ่งมงคลสกลสันติสุขศรีสุวรรณบรรพต หรือศาลเจ้าปู่ภูพาน) ขยายเป็นขนาด 3 ช่องจราจร เพื่อให้รถบรรทุกหนักวิ่งด้านข้าง พร้อมติดตั้งราวกันอันตราย (Guard Rail), คอนกรีตแบริเออร์, เป้าสะท้องแสง และไฟฟ้าส่องสว่าง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นทางขึ้น - ลงเขา จากอำเภอสมเด็จมายังจังหวัดสกลนคร ด้านซ้ายจะเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูพาน ส่วนฝั่งด้านขวาเป็นพื้นที่ของกรมป่าไม้ ถนนค่อนข้างคับแคบและคดเคี้ยว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจุบันมีปริมาณการจราจรค่อนข้างหนาแน่นอยู่ที่ 14,515 คันต่อวัน เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวผ่านจุดเช็คอินโค้งปิ้งงูที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเส้นทางนี้มีรถบรรทุกใช้เส้นทางจำนวนมาก เพื่อขนส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไปยัง จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม ผ่านสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม - คำม่วน) เชื่อมต่อไปยังประเทศลาว เวียดนาม และ จีนตอนใต้ ทางหลวงหมายเลข 213 สายสมเด็จ - สกลนคร ระยะทางทั้งหมด 83 กม.  ได้ดำเนินการขยายผิวทางเป็นขนาด 4 ช่องจราจรแล้ว 67  กิโลเมตร ทำให้เหลือทางขนาด 2 ช่องจราจร อีก 16 กิโลเมตร จะทำการขยายให้ครบทั้งหมดต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อแล้วเสร็จจะเติมเต็มโครงข่ายในพื้นที่จังหวัดสกลนครให้สมบูรณ์มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางคมนาคมขนส่งสินค้า ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมจุดเช็คอินโค้งปิ้งงูให้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวเทศกาลที่มีการเดินทางหนาแน่น