ปตท.คาดธุรกิจน้ำมันครึ่งแรกของปี60 เพิ่มขึ้น 4.3% ระบุจากเชื่อมั่นในคุณภาพน้ำมัน - ปั๊มที่มีมากขึ้น การเปิดเสรี LPG ยืนยันไม่กระทบขายปลีกในประเทศ คาด PTTOR เข้าจดทะเบียนปี 61
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ในภาพรวมส่วนแบ่งตลาดธุรกิจน้ำมันของ ปตท. ช่วงครึ่งแรกของปี 2560(ม.ค.-มิ.ย.) มีสัดส่วน 40.8% ของทั้งประเทศ หรือ ขยายตัวเพิ่ม 1% โดยเติบโตจากการจำหน่ายน้ำมันโดยรวมเพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 59 หรือคิดเป็นปริมาณ 9,840 ล้านลิตร แบ่งเป็นยอดจำหน่ายน้ำมันเบนซิน เพิ่มขึ้น 7.5% ปริมาณ 1,990 ล้านลิตร, ดีเซลเพิ่มขึ้น 5.8% เป็นปริมาณ 3,956 ล้านลิตร,น้ำมันเครื่องบิน เพิ่มขึ้น 5.3% เป็นปริมาณ 1,612 ล้านลิตร ส่วนการใช้ก๊าซหุงต้ม(LPG)ลดลงเล็กน้อย 0.6% อยู่ที่ 793 ล้านกิโลกรัม
ทั้งนี้ยอดการจำหน่ายน้ำมันโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 4.3% ของปตท.ดังกล่าว ถือว่าสูงกว่ายอดจำหน่ายน้ำมันโดยรวมของประเทศที่เติบโตเพียง 1.5% คิดเป็นปริมาณ 25,690 ล้านลิตร ซึ่งสาเหตุมาจากความเชื่อมั่นในคุณภาพน้ำมัน และปั๊มที่มีจำนวนมากเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามคาดว่าครึ่งหลังของปี 2560 ปริมาณการจำหน่ายน่าจะทรงตัวในระดับดังกล่าว เนื่องจากไม่มีปัจจัยเด่นมากระตุ้นการบริโภค และประเมินว่าราคาน้ำมันทั้งปี 2560 จะอยู่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
นายอรรพล กล่าวว่า การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซหุงต้ม(LPG) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐนั้น ไม่ได้ทำให้ยอดจำหน่ายปลีกของ ปตท. ตกลงแต่อย่างใด เพราะสามารถแข่งขันได้ทั้งด้านบริการ ความปลอดภัย มาตรฐานถัง และจำนวนร้านค้าปลีกที่มี ส่วนการเปิดเสรีนำเข้า LPG ถือเป็นเรื่องดีช่วยให้มีผู้นำเข้าหลายราย ซึ่ง ปตท.จะปรับตัว โดยอยู่ระหว่างหารือกับภาครัฐเพื่อปรับแนวทางเป็นการนำเข้าเพื่อส่งออกมากขึ้น ทั้งประเทศที่อยู่ใกล้และไกลจากไทย เนื่องจากคลัง LPG ของปตท.มีกำลังรองรับได้ถึง 2.5 แสนตันต่อเดือน ขณะที่การใช้มีไม่ถึง 50% ของพื้นที่คลัง อย่างไรก็ตามการมีปริมาณ LPG ในคลังมากถือเป็นเรื่องดี เพราะสามารถช่วยสำรองกรณีก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยทยอยลดลงและลดความเสี่ยง LPG ได้ส่วนหนึ่ง
สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR)ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำเอกสารส่งให้กระทรวงพลังงาน เกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินหรือเช่าช่วงพื้นที่หน่วยงานราชการในนามของ ปตท. ไปเป็นของ PTTOR จากนั้นจะเสนอเข้าสู่คณะกรรมการ(บอร์ด) ปตท. ทั้งนี้หากโอนทรัพย์สินเสร็จในเดือน ธ.ค. 2560 นี้จะสามาถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ได้ในปี 2561 แต่ถ้าไม่ทันธ.ค.นี้ อาจต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2562 แทน ส่วนมูลค่าทรัพย์สินจะต้องประเมินใหม่เพื่อให้เป็นมูลค่าปัจจุบันมากที่สุด จากเดิมที่คาดว่ามีมูลค่ารวม 1.2 แสนล้านบาท