น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 29 ส.ค. 66 ได้รับทราบร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.... โดยมีสาระสำคัญเป็นจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ เป็นส่วนราชการภายในสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งขาดแคลน รวมถึงเป็นการสนับสนุนโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่่อชาวชนบท (Project to Increase Production of Rural Doctor : CPIRD) ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบโครงการนี้เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 65 เรื่อง โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ.2561-2570
สำหรับคณะแพทยศาสตร์ ยังจะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับศูนย์การแพทย์ศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิกของโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ โรงพยาบาลนครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลราชบุรี ซึ่งไม่มีโรงพยาบาลต้นสังกัด โดยจะมีการแบ่งส่วนราชการในคณะออกเป็น 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1)สำนักงานคณบดี 2)วิทยาลัยแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ 3)วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และ 4) วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลราชบุรี
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 65 และได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อวันที่ 10 ม.ค. และได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการตรวจพิจารณา ซึ่งเป็นการดำเนินตามขั้นตอนตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 49 เรื่องขั้นตอนการแบ่งส่วนราชการภายในสถาบันอุดมศึกษา ที่กำหนดว่าเมื่อมีการจัดทำกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการให้เสนอคณะกรรมการการอุดมศึกษาพิจารณากลั่นกรอง และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ให้ถือว่า ครม.ให้ความเห็นชอบแล้ว
เมื่อได้มีการส่งร่างกฎกระทรวงให้คณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว จึงถือว่าร่างกฎกระทรวงฯ เป็นร่างอนุบัญญัติที่ ครม. ได้มีมติอนุมัติหลักการไว้ก่อนที่จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 20 มี.ค. 2566 เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ แล้วเสร็จ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามขั้นตอน เพื่อให้ร่างกฎกระทรวงประกาศใช้บังคับต่อไป การเสนอต่อ ครม. ในครั้งนี้จึงเป็นการเสนอเพื่อรับทราบ ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้สำนักเลขาคณะรัฐมนตรี( สลค.) จะได้ส่งร่างกฎกระทรวงฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป