นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวG2Gว่า
คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุดจำเลยทุกคนยังได้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่จากคำพิพากษามีหลายประเด็นที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาและยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะต้องอยู่บนหลักความถูกต้อง คำพิพากษาได้ชี้ให้เห็นชัดว่าฝ่ายการเมืองได้ร่วมมือกับฝ่ายข้าราชการประจำและเอกชนอย่างไรบ้าง การระบายข้าวที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบ G2G รัฐบาลต่อรัฐบาล มีการมีการวางแผนแก้ไขยุทธศาสตร์การระบายข้าว เพื่อให้บริษัทที่ไม่ใช่เป็นผู้รับมอบหมายจากสาธารณะรัฐประชาชนจีนได้เข้าทำสัญญาในการซื้อขายข้าว โดยมีการแอบอ้างว่าบริษัทดังกล่าวได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณะรัฐประชาชนจีน และที่สำคัญมีการซื้อขายกันในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด การซื้อขายข้าวก็มีการซื้อขายกันหน้าคลัง โดยการสั่งจ่ายเงินเป็นแคชเชียเช็คจากคนที่อยู่ในเมืองไทยกว่า 1,000 ฉบับ เพื่อให้มีการนำข้าวมาเวียนเทียนซื้อขายกันในประเทศ การซื้อขายข้าวในสี่สัญญามีมูลค่าการซื้อขายถึง 70,549,222,014 คำพิพากษาระบุไว้ชัดว่าเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีการร่วมมือกันหลายฝ่าย ข้าราชการประจำต้องศึกษาคำพิพากษาฉบับนี้จะเห็นสัจธรรมว่า อย่าได้เกรงใจกับคำสั่งของผู้มีอำนาจที่สั่งให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นคนที่รับผลกรรมก็คือข้าราชการ เอกชนก็เช่นกันจะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่าอย่าได้คิดร่วมมือในการทุจริตกับนักการเมือง ข้าราชการ เพราะผลคดีนี้จะเห็นได้ว่าโทษหนักพอสมควร หลายฝ่ายควรศึกษาคำพิพากษาฉบับนี้โดยเฉพาะรัฐบาลควรอธิบายชี้แจงในสิ่งที่เป็นประโยชน์บ้างเพราะอย่างน้อยนี้คือมาตรการบทลงโทษที่เป็นผลดีในการป้องปรามการทุจริตในชาติบ้านเมือง