ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก้าวสู่ปีที่ 18 ประกาศเดินหน้าลงทุนขยายขีดความสามารถ ลุยต้นปีหน้าเปิดประมูล East Expansion เพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 66,000 ตารางเมตร
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า วันนี้ (28 ก.ย.) เป็นวันครบรอบ 17 ปี การดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ท่าอากาศยานกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังการเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เป็นเวลาเกือบ 3 ปี
โดยพบว่าใน 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.2565 – ส.ค. 2566) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2565 ทสภ. มีเที่ยวบินที่ทำการบินรวมทั้งสิ้น 268,477 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 59.4% มีผู้โดยสารใช้บริการรวมทั้งสิ้น 44.40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 153.4% ทำให้เมื่อนับรวมตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2549 รวมระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ทสภ. ได้ต้อนรับและให้บริการผู้โดยสารจากทั่วโลกแล้วทั้งสิ้น 756.47 ล้านคน ด้วยเที่ยวบินรวม 4.74 ล้านเที่ยวบิน และให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศรวมทั้งสิ้น 20.95 ล้านตัน
อย่างไรก็ดีเพื่อรองรับการเติบโตพร้อมกับการก้าวสู่ปีที่ 18 ทสภ. ได้มีแผนงานทั้งในส่วนของการขยายพื้นที่ให้บริการ ลงทุนใหม่ในโครงสร้างพื้นฐานหลักของท่าอากาศยาน ตลอดจนเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของการเปิดพื้นที่บริการใหม่นั้น ในวันที่ 28 ก.ย. 2566 ทสภ. จะเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ อาคาร SAT-1 ในรูปแบบ Soft Opening ก่อนเปิดเต็มรูปแบ
นอกจากนี้ ทสภ. ได้นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ในการจัดการกับกระเป๋าสัมภาระ Check-in โดยติดตั้งระบบ Individual Carrier System (ICS) ซึ่งเป็นระบบขนส่งสัมภาระความเร็วสูงเชื่อมต่อระหว่างอาคารผู้โดยสารหลัก (MTB) กับอาคาร SAT-1 มีจุดเด่นสามารถติดตามกระเป๋าสัมภาระที่มีความแม่นยำสูง ลดปัญหากระเป๋าสัมภาระเสียหายในขั้นตอนการลำเลียงขึ้นอากาศยานได้
ขณะที่แผนลงทุนโครงการต่างๆ ทสภ. ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพการรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้นในระยะต่อไป คือ โครงการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 ซึ่งตามแผนงานมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือน ก.ค. 2567 และสนับสนุนให้ ทสภ. สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้นเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากปัจจุบันที่มีรันเวย์ 2 เส้น สามารถรองรับได้ 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลัก ด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ซึ่งจะขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี ด้วยการเพิ่มพื้นที่ 66,000 ตารางเมตร สถานะปัจจุบันได้ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างการปรับแบบให้สอดคล้องกับบริบทด้านการบินในปัจจุบัน คาดว่าจะเปิดประมูลโครงการฯ ต้นปี 2567
นอกจากนี้ ทสภ. ได้ติดตั้งระบบบริหารจัดการและจัดเก็บค่าบริการจอดรถ AOT Parking Management System (AOT PMS) ประกอบด้วย ระบบจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติ (Auto Pay) ณ อาคารจอดรถยนต์โซน 2 และโซน 3 ที่ผู้ใช้บริการสามารถเลือกชำระค่าบริการด้วยเงินสดหรือสแกน QR Code ผ่าน Application (AOT Smart Carpark) นอกจากนี้ใน Application สามารถแสดงจำนวนช่องจอดแบบ Real Time และสามารถค้นหาตำแหน่งที่จอดรถของผู้ใช้บริการได้ (Finding Car) โดยขณะนี้ระบบทั้งหมดอยู่ระหว่างการทดสอบระบบฯ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปลายปี 2566
ทั้งนี้ นอกจากการเดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ ทสภ. ยังให้ความสำคัญกับการประกอบธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยได้เป็นท่าอากาศยานต้นแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Airport) แห่งแรกในประเทศไทย จากโครงการระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่อาคารผู้โดยสาร กำลังการผลิตขนาด 4.408 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.2566 เป็นต้นมา
ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มีการใช้พลังงานจากเเสงอาทิตย์เเล้ว แผงโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้ความร้อนภายในอาคารผู้โดยสารลดลงมากกว่า 7 องศา ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 3,600 ตันต่อปี และในระยะต่อไปจะดำเนินการติดตั้งโซลาร์เซลล์อาคารอื่นๆ ภายในท่าอากาศยาน รวมถึง Floating Solar บนพื้นน้ำในเขตของท่าอากาศยานด้วย