"คลัง" เสนอมาตรการรับสังคมสูงวัย ผลักดันร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เป็นการออมภาคบังคับ หนุนแรงงานในระบบทั้งรัฐ-เอกชน มีรายได้หลังเกษียณไม่ต่ำกว่า 50%

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้มีการเสนอมาตรการทางการคลังเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทยที่เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ..... เพื่อให้มีกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติซึ่งเป็นกองทุนการออมภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบที่มีอายุตั้งแต่ 15-60 ปี ครอบคลุมลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนข้างต้นเพื่อให้แรงงานในระบบได้มีการออมเพื่อการเกษียณเพิ่มเติม เพื่อให้มีรายได้ไม่น้อยกว่า 50% ของรายได้ก่อนเกษียณซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอในการดำรงชีพ

รวมทั้งกบช. ยังจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้มีระบบข้อมูลสำหรับใช้ประโยชน์ในการยกระดับการบริหารจัดการระบบการออมเพื่อการชราภาพทั้งระบบ

นอกจากนี้ สศค.ผลักดันร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ.... เพื่อให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติซึ่งเป็นเป็นคณะกรรมการระดับชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทำหน้าที่จัดทำนโยบาย แผนแม่บท และแนวทางการพัฒนาระบบ บำเหน็จบำนาญของประเทศในภาพรวมให้สอดคล้องกัน ประสานการกำหนดนโยบายกองทุนการออม เพื่อการชราภาพของทุกหน่วยงาน

โดยคณะกรรมการฯ จะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญให้ครอบคลุมผู้พ้นวัยทำงานทั้งหมด เพื่อให้มีความมั่นคงด้านรายได้เมื่อพ้นวัยทำงานและเพียงพอ ต่อการดำรงชีพ รวมทั้งกำหนดอัตราบำเหน็จบำนาญพื้นฐานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร

นอกจากนี้ สศค.ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการให้ลูกจ้างเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD) โดยอัตโนมัติ (Auto Enrollment) และการเพิ่มเพดานอัตราเงินสะสมและเงินสมทบใน PVD รวมทั้งการขยายอายุสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ จาก 60-65 ปี

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ประกาศใช้มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนคนไทยให้มีลูกมากขึ้น สำหรับผู้มีเงินได้หรือของผู้สมรสสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ คนละ 30,000 บาท

ส่วนจะมีมาตรการภาษีอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ยังต้องรอพิจารณาข้อเสนอจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยังอยู่ระหว่างการหารือกัน ทั้งนี้กระทรวงการคลังพร้อมพิจารณาสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการมีบุตรเพื่อลดปัญหาเชิงโครงสร้างของางคมสูงวัย