เมื่อเช้าวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา ณ ห้องสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ สมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง นำโดยดร.วิจักษ์ พงษ์เภตรา นายกสมาคม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง “ที่ดินของรัฐ : บริหารจัดการใหม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย”
นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ ที่ดินของรัฐ กับข้อจำกัดและโอกาสการพัฒนาในมุมของกฎหมาย” โดยสรุปว่า ประเทศไทยมีที่ดินรวม 320 ล้านไร่ แต่ถ้ารวมทุกโฉนดพบว่ามีที่ดินเกิน 320 ล้านไร่ เพราะมีปัญหาการทับซ้อน ข้อมูลของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกัน
งานยากของรัฐบาลคือการลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ที่ดิน เช่น เอาที่ดินจากกองทัพซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจโอนให้กรมธนารักษ์ แล้วกรมธนารักษ์ให้คนยากจนเช่าทำกินในราคาถูก
การพัฒนาที่ดินของรัฐต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ต้องรักษา ป่าไม้ต้องอนุรักษ์ต้องดูแลรักษาไว้ การพัฒนาไม่ใช่โค่นป่า ต้องมีการจัดการที่ดี การเพิ่มประสิทธิภาพของที่ดิน เกษตรกรขาดทักษะ ใช้ที่ดินไม่คุ้มค่า ชาวนาใช้ปุ๋ยหนัก แต่ผลผลิตไม่เพิ่ม
ที่ดินของรัฐหลายเรื่องทำยาก ช้าเกือบทุกเรื่อง ต้องปรับปรุงกฎหมายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ประเทศไทยเจ้าระเบียบ เขียนระเบียบเขียนกติกามากจนทำอะไรไม่ได้ เหมือนทำรั้วเพราะกลัวขโมยจนออกจากบ้านตัวเองไม่ได้ กลัวทุกเรื่องทุกอย่างจนกลายเป็นปัญหา โลกเปลี่ยนไปเร็วแต่ประเทศไทยเปลี่ยนกฎหมายช้า
รัฐบาลชุดก่อนต้องการทวงคืนผืนป่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกทุกเรื่อง ใช้กฎหมายคสช.ไปรื้อถอน วันนี้คดีแห้งไปแล้วกว่า 3 หมื่นคดี ได้ที่ดินคืนแล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินมีเยอะมาก หากจะแก้ต้องไปในทิศทางเดียวกัน
ที่ดินส.ป.ก.ซึ่งกฎหมายให้ทำการเกษตรอย่างเดียวแต่โลกวันนี้เกษตรอย่างเดียวไม่เพียงพอ รัฐได้ผลตอบแทนเป็นภาษีก็น้อย เราสามารถปรับโครงสร้างส.ป.ก.ได้ ไม่ได้แปลว่าจะยกที่ส.ป.ก.ให้เป็นของเอกชน แต่แปลว่าถ้าไม่เหมาะกับการเกษตรก็อาจจะเป็นอุตสาหกรรมหรือเพื่อการท่องเที่ยวได้
คนที่มาร้องทุกข์ที่ทำเนียบรัฐบาล อันดับแรกคือเรื่อง “ที่ดินทำกิน” แปลว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ถ้าจะแก้ได้ต้องบูรณาการจริงๆทุกหน่วยงาน
ในช่วงของการเสวนาซึ่งดำเนินรายการโดยนายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ บรรณาธิการ The Leader Asia
ผศ.ดร.กิติชัย รัตนะ อาจารย์ประจำภาควิชาอนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ที่ดกินของรัฐมองใน3รูปแบบ 1.การคุ้มครองไว้เพื่อเป็นที่ดินของรัฐ เช่น ที่ป่าไม้ ที่ราชพัสดุ 2.ที่ดินเพื่อการใช้ประโยชน์ เพื่อการเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม 3.พื้นที่ทับซ้อน ชุมชนอยู่ในเขตพื้นที่รัฐ ใช้หลักรัฐศาสตร์คู่กับนิติศาสตร์ มีความยืดหยุ่นไม่เหมือนกัน หรือมีความคลุมเครือเรื่องแนวเขต ต้องใช้One Map เพื่อทำรายละเอียดให้เด่นชัดซึ่งอาจจะมีข้อพิพาทตามมาอีกมาก
ปัจจุบันมีความไม่ชัดเจนว่าที่ดินส.ป.ก. ทำประโยชน์เพื่อเกษตรได้ดีจริงหรือ เพราะพบว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินส่งผลต่อผลิตภาพต่ำมาก เกษตรกรไทยติดกับเรื่องต้นทุนการผลิตและหนี้สิน การเพิ่มมูลค่าใหม่ในที่ดินมีความจำเป็นรัฐบาลกลางต้องจัดสรรแบ่งปันบริหารการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยแนวคิดแบบพลิกโฉมโดยอยู่บนความสมดุลและความเป็นธรรม
หากจะบริหารจัดการใหม่ ต้องออกกฎหมายใหม่ให้ทันสมัย ยกเลิกกฎหมายเก่าที่ไม่จำเป็น ปรับวกระบวนการการทำงาน ค้นหาพื้นที่ปฏิบัติการที่เป็นเลิศเพื่อนำร่องการปฏิบัติการ เสนอการนำหนึ่งพื้นที่หลายระบบเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่า มีระบบข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลที่ดิน การจัดการที่ดินในรูปแบบใหม่ ไม่ทำไม่ได้แล้วเพราะมีเงื่อนไขที่มากระทบต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินของไทยค่อนข้างมาก เช่นภัยพิบัติจากความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลก เรื่องเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมีผลต่อการวางรากฐานของประเทศ
นายชวลิต ชูขจร อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การจะใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องรู้ปัญหา ที่ดินของรัฐนั้นมี 8 กระทรวง 19 กรม 3 รัฐวิสาหกิจ และกฎหมายอีก 16 ฉบับใช้บังคับอยู่ แต่ละฝ่ายต่างถือกฎหมายคนละฉบับในการทำหน้าที่ของตน เมื่อมีนโยบาย กฎหมาย และภาษีเข้ามากำกับ ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าหรือผลผลิต
ที่ดินส.ป.ก.40ล้านไร่เคยมีนโยบายต้องรักษาไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ใช้กฎหมายส.ป.ก.ที่ห้ามจำหน่ายจ่ายโอน และเกษตรกรคือผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประกอบอาชีพเกษตร เกษตรกรจึงไปทำอย่างอื่นไม่ได้และต้องจนอยู่ชั่วชีวิต แต่ความจริงที่ดินรัฐมีการบุกรุกตลอดมา รัฐจัดการแบบมีปัญหาดินพอกหางหมู
ต้องยอมรับว่าปัญหามีอยู่จริง ปัญหาใหญ่คือความไม่เป็นเอกภาพของหน่วยงานราชการ มีการตั้งสคทช.เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียว แต่สิ่งที่หน่วยงานต่างๆกำลังทำอยู่ไม่เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้
นายสุริยน พัชรครุกานนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.)
สคทช.เพิ่งตั้งเมื่อปี 2564 ตอนนี้เพิ่ง3ขวบ เป็นหน่วยงานเชิงนโยบายที่พยายามแก้ปัญหาที่ดินให้ทุกด้านแต่อาจจะช้าหน่อย เพราะการมีส่วนร่วมในการทำงานของหน่วยงานต่างๆยังไม่เป็นเอกภาพ หน้าที่ของสคทช.คือบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เป็นเอกภาพ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตอนนี้มีCEO One Map เร่งรัดดำเนินการให้จบเพราะมีปัญหาที่ดินทับซ้อนที่ต้องเร่งแก้ไข One Map จะเสร็จในปี 2568 จะเปิดโอกาสให้ประชาชนโต้แย้งสิทธิ์หรือพิสูจน์สิทธิ์
การลดลงของพื้นที่ป่าน่ากลัวมากการบุกรุกยังมีต่อเนื่อง เพราะมาตรการของรัฐบางช่วงแข็งแรง บางช่วงหย่อนยาน ที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในมือคนส่วนน้อย ที่ดินใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ ที่ดินมีศักยภาพมากกว่าทำการเกษตร
ผศ.ดร.ศุภฤกษ์ สุขสมาน รองคณบดีฝ่ายบริหารยุทธศาสตร์และพัฒนากายภาพ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การบริหารจัดการที่ดินของรัฐที่ผ่านมามุ่งเน้นไปที่กลุ่มเกษตรกรผู้ยากไร้ ไม่มีที่ทำกิน แต่ปัจจุบันหากมองในด้านผลตอบแทนจากที่ดินคงต้องกลับมาคิดกันใหม่ เช่น ความสมบูรณ์ของดิน แหล่งน้ำในเขตชลประทาน โครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้เกษตรกรยังต้องแบกรับความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งผลผลิต โรค ตลาด ราคาผลผลิต เกษตรกรเป็นกลุ่มที่มีหนี้สินมาก
ข้อเท็จจริงคือเกษตรกรมีรายได้นอกภาคเกษตรสูงกว่ารายได้จากผลผลิตทางการเกษตร เช่นอาจมีอาชีพประกอบ ลูกหลานส่งเงินให้ใช้ GDP ภาคเกษตรลดต่ำลง เกษตรกรมีทุนน้อยลง ประสิทธิภาพภาคการเกษตรของไทยแทบไม่มีเลย เกษตรกรยุคใหม่อาจใช้พื้นที่เพาะปลูกน้อยลงแต่ได้ผลตอบแทนมากขึ้น
รัฐบาลต้องเปลี่ยนแนวคิด ที่ดินที่จะอนุรักษ์ได้ดีที่สุดคือที่ดินของเอกชน ทำไมไม่ให้TAX CREDIT หรือ CARBON CREDIT แก่เอกชน ส่งเสริมให้เขาไม่นำที่ดินมาพัฒนาในด้านการเกษตร แต่ใช้ในเชิงอนุรักษ์ ที่ดินใช้ประโยชน์อื่นๆได้ไหมหากมองประโยชน์สูงสุด นอกจากการเกษตร เช่นท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม
นายพรสิทธิ์ ด่านวนิช รองนายกสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง กล่าวว่าตนเองเป็นตัวแทนของภาคเอกชนที่ประสบปัญหาการใช้ที่ดินของรัฐโดยเฉพาะเรื่องที่ดินส.ป.ก.กับการทำเหมืองแร่ ที่ดินส.ป.ก. ทั้งหมด 40 ล้านไร่ สำรวจแล้วมีแร่อยู่ในบริเวณแค่ 4 ล้านไร่ และเอกชนยื่นขอใช้พื้นที่เพียง 3 แสนไร่ จะเกิดประโยชน์ในแง่ค่าภาคหลวง ค่าตอบแทนพิเศษสำหรับส.ป.ก. รายได้ส่วนใหญ่ 60% จะตกแก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
เมื่อมีการทำเหมืองจะเกิดการจ้างงานชาวบ้านในพื้นที่ จะมีกองทุนให้กับชุมชนใกล้เคียง หลังการทำเหมืองจะมีแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่สำหรับเกษตรกร