จากนักศึกษา สู่ “ฮีโร่บ้านๆ ลดความรุนแรงต่อเด็ก” DPU จบการจัดกิจกรรมโครงการนักสื่อสารรุ่นใหม่ ตอกย้ำ Beyond Content Creator รอบด้าน
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 หลักสูตรภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดกิจกรรม “ชวนน้องดูหนัง” จบการจัดกิจกรรมโครงการ “นักสื่อสารลดความรุนแรงต่อเด็ก” รุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก โดยมี ผศ.ศิวนารถ หงษ์ประยูร คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ เป็นประธานในพิธี ร่วมกับคุณวาสนา เก้านพรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก และ ดร.การดา ร่วมพุ่ม หัวหน้าหลักสูตรภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล และผู้ดูแลโครงการ พร้อมนักศึกษากว่า 160 คน ร่วมกันรับชมภาพยนตร์สั้น 7 เรื่อง ซึ่งนักศึกษาได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสะท้อนปัญหาและแนวทางยุติความรุนแรงต่อเด็ก พร้อมทั้งอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สื่อเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสังคม
โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาพยนตร์เพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคม (FD 368) และวิชากฎหมายสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเด็ก ของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมีความรู้ในการใช้สื่อดิจิทัล เพื่อลดความรุนแรงต่อเด็กที่เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน โดยนักศึกษาได้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็กและครอบครัว รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็ก พร้อมทั้งการสร้างสรรค์สื่อที่สามารถสื่อสารปัญหาความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็น “นักสื่อสาร” ที่มีความรับผิดชอบในการใช้สื่อเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมได้จริง และจัดแสดงผลงานให้บุคคลทั่วไปได้รับชม ทั้งในกิจกรรม “ชวนน้องดูหนัง” และจัดฉายแบบออนไลน์ผ่านช่องทางของคณะนิเทศศาสตร์และมูลนิธิฯ ด้วย
ผศ.ศิวนารถ หงษ์ประยูร คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการที่นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยระบุว่า คณะนิเทศศาสตร์มุ่งหวังให้นักศึกษาเป็นมากกว่าผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (beyond content creator) ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องมีทักษะในการสร้างสรรค์เนื้อหาทางธุรกิจ แต่ยังต้องมีจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคม และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมได้จริง แม้ว่านักศึกษาบางคนเมื่อจบไปแล้วอาจจะเลือกทำงานในภาคธุรกิจ แต่จิตสำนึกรวมถึงความรู้ที่ได้รับจากโครงการนี้จะติดตัวนักศึกษาไปไม่ว่าจะทำงานในสื่อประเภทใดก็ตาม และจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาในระยะยาว
ผศ.ศิวนารถ กล่าวเสริมอีกว่า “การมีจิตสำนึกต่อสังคมเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ความรู้ทางวิชาการ” และการที่นักศึกษาได้ลงมือทำจริงจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นโครงการนี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการเตรียมตัวให้นักศึกษาได้พร้อมสำหรับการทำงานในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางสังคมและธุรกิจ พร้อมทั้งย้ำว่า “สังคมได้ลงทุนให้กับพวกเรา” ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร สิ่งที่เราทำนั้นต้องคิดเสมอว่าเราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมได้อย่างไร
ขณะที่ คุณวาสนา เก้านพรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้กล่าวถึงปัญหาความรุนแรงต่อเด็กในปัจจุบันว่าเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวและมีความหลากหลาย ซึ่งไม่จำกัดแค่การทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรุนแรงทางอารมณ์ การละเลย และการบูลลี่ โดยเน้นย้ำว่าการป้องกันความรุนแรงตั้งแต่ต้นทางเป็นสิ่งสำคัญ และการสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคนคือ ภารกิจที่ทุกคนต้องร่วมมือกันทำ
“กฎหมายห้ามผู้ปกครองลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง ได้ผ่านรัฐสภาแล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 และกำลังจะประกาศใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้นการที่นักศึกษาเข้าร่วมโครงการนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นกระบอกเสียง และช่วยสื่อสารสร้างความตระหนักให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูเด็กโดยปราศจากความรุนแรง” คุณวาสนา กล่าว
ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ยังย้ำอีกว่า “การรับฟังเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญ” และการให้เด็กมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับตนเองก็เป็นสิทธิที่สำคัญที่ควรได้รับการส่งเสริม โดยครูในโรงเรียนควรมีบทบาทในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็ก ผ่านการรับฟังและให้การช่วยเหลือเด็กที่ประสบปัญหาความรุนแรง เพราะการรับฟังเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องเด็ก
สำหรับผลงานทั้ง 7 เรื่อง ในโครงการนี้ได้นำเสนอปัญหาความรุนแรงต่อเด็กในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทางกาย วาจา จิตใจ หรือแม้กระทั่งการละเลย โดยแต่ละเรื่องล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงผลกระทบอันร้ายแรงของความรุนแรง และร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น เรื่อง “แค่นี้เอง” สะท้อนให้เห็นว่าคำพูดที่ดูเหมือนไม่รุนแรง แต่สำหรับเด็กนั้นอาจเป็นปัญหาที่ใหญ่และสร้างบาดแผลในใจให้ลึกได้อย่างคาดไม่ถึง หรือเรื่อง “1300” ที่นำเสนอปัญหาความรุนแรงในสังคม พร้อมทั้งใช้เบอร์โทรศัพท์ 1300 เป็นช่องทางให้ความช่วยเหลือผ่าน MV