เกษตรฯ ร่วมขับเคลื่อนโครงการ Thai Rice GCF เตรียมพร้อมสอนชาวนาปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ เป้าหมาย เกษตรกรรายย่อย 253,400 คน ใน 21 จังหวัด
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ “เพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ: Thai Rice GCF”
เป้าหมายในการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศของเกษตรกรรายย่อย 253,400 คน ใน 21 จังหวัด ของไทย โดยยึดหลักการเปลี่ยนแปลงจากล่างขึ้นบน ที่เริ่มจากระดับเกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว และเข้าร่วมโครงการซึ่งใช้เทคโนโลยีที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture: CSA) โดยคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมได้ 2.6 ล้านตัน ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ของการดำเนินโครงการ (มกราคม 2567 – ธันวาคม 2571)
ล่าสุดกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อออกแบบหลักสูตรการถ่ายทอดความรู้สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อส่งเสริมศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมพัฒนาแนวทางถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยใช้แนวคิดการส่งเสริมการเกษตรผสมผสานกับแนวคิดการดำเนินการธุรกิจและการตลาด (Extension x Business Model Canvas) สำหรับร่างหลักสูตรการอบรมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำไปถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อไป
สำหรับองค์ความรู้ซึ่งจะถ่ายทอดให้เกษตรกรสามารถใช้วิธีการปลูกข้าวที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วย 10 วิธี คือ
1. การใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศสำหรับวางแผนการเพาะปลูก (Weather Forecast Advisory Services : WFAS) เพื่อช่วยคาดการณ์และวางแผนการปลูก ลดความเสี่ยงเกิดความเสียหาย ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตข้าวได้ตามมาตรฐาน
2. จัดการน้ำระดับแปลงนา Farm-level Water Management (FWM) ทำระบบการจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเขตชลประทาน ควรทำระบบน้ำ เข้า-ออก คนละทาง ป้องกันวิกฤติน้ำเค็มรุก และเขตนาน้ำฝน ควรทำบ่อสำรองน้ำไว้ใช้ในสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง
3. ใช้พันธุ์ข้าวที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง Rice Variety Identification (RVI) โดยเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกและปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีความทนต่อโรค แมลง และสภาพอากาศในบางฤดู ให้ผลผลิตสูง และตลาดต้องการ
4. การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ Laser Land Levelling (LLL) ทำให้พื้นที่แปลงนาที่มีความสูง-ต่ำ ราบเรียบเสมอกัน
5. การหว่านหรือหยอดข้าวแห้ง Dry direct-seeded (DSR) ซึ่งใช้เมล็ดโดยตรงหว่านเพื่อรอฝน ทำให้ประหยัดแรงงาน ลดต้นทุน และระยะเวลาปลูก
6. จัดการศัตรูข้าวแบบผสมผสาน Integrated Pest Management: (IPM) นำเอาวิธีป้องกันกำจัดศัตรูพืชหลากหลายวิธีมาปรับใช้เพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศ ทำให้สามารถลดการใช้ปริมาณสารเคมี
7. ทำนาแบบเปียกสลับแห้ง Alternate Wetting and Drying (AWD) ควบคุมระดับน้ำในแปลงนาตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ต้านทานต่อแพร่การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
8. ใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน Site-specific Nutrient Management (SSNM) คือใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น พอดีกับความต้องการของพืช โดยประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินก่อนการปลูกทำให้ลดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ และลดต้นทุนการผลิต
9. จัดการฟางและตอซัง Straw and Stubble Management (SSM) โดยแปรสภาพให้เกิดประโยชน์ เช่น ไถกลบ เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน และ อัดก้อน เพื่อเป็นอาหารสัตว์
10. ปลูกพืชหมุนเวียนยั่งยืน หรือ การปลูกพืชหลังนา Crop Diversification, Rotation (CDR) เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพดินและปริมาณน้ำ ก็จะก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่อง และยังเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วย