นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แถลงว่า การเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61(เอราวัณ) และ G2/61 (บงกช) ตามทีโออาร์การเปิดประมูลภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract : PSC) ทางกระทรวงฯ ได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงและค่าไฟฟ้าต่ำสุด จึงกำหนดข้อเสนอการพิจารณาการให้คะแนนราคาก๊าซฯ ในอัตราที่ไม่สูงกว่าราคาปัจจุบันเป็นสัดส่วนคะแนนร้อยละ 65 และที่เหลือร้อยละ 25 พิจารณาจากข้อเสนอส่วนแบ่งกำไรอีกร้อยละ 10 พิจารณาจากข้อเสนออื่น ๆ ขณะที่ข้อกำหนดด้านความมั่นคงได้กำหนดให้ผู้ผลิตรายใหม่ผลิตก๊าซฯจาก 2 แหล่งรวมกัน ณ วันที่เริ่มสัญญาในปี 2565-2566 ที่ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นเวลา 10 ปี จากที่ปัจจุบันกำลังผลิตจาก 2 แหล่ง รวมกันอยู่ที่ 2,100  ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

"ราคาก๊าซปัจจุบันของบงกชอยู่ที่ประมาณ 7 ดอลลาร์/ล้านบีทียู เอราวัณอยู่ที่ 5-6 ดอลลาร์ /ล้านบีทียู ราคาแอลเอ็นจีนำเข้ามาถึงประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 8 ดอลลาร์/ล้านบีทียู ดังนั้น ราคาประมูลก็จะถูกกว่าราคานำเข้าแอลเอ็นจี เป็นผลดีต่อค่าไฟฟ้า ซึ่งทุกราคาก๊าซฯ ที่เปลี่ยนแปลง  1 บาท/ล้านบีทียู จะมีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าประมาณ 0.5 สต./หน่วย" นายวีระศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ตามสัญญาพีเอสซีผู้ชนะประมูลเอราวัณ-บงกช จะได้สัญญาผลิต 20 ปี หลังจากนั้นต่ออายุสัญญาผลิตได้อีก 10 ปี โดยอายุการสำรวจแหล่งจะใช้เวลา 3 ปี หากไม่พบจะได้สิทธิ์สำรวจต่ออีก 3 ปี ก่อนยื่นผลิต 

สำหรับแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข G1/61(เอราวัณ) มีพื้นที่ประมาณ 4,501 ตารางกิโลเมตร และ G2/61(บงกช) มีพื้นที่ประมาณ 3,247 ตารางกิโลเมตร การผลิตกว่า  30 ปี ทั้ง 2 แหล่งในรูปแบบสัมปทาน สร้างรายได้แก่ประเทศประมาณ  420,000 ล้านบาท โดยปี 2560 สร้างรายได้ประมาณ  50,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งการเปลี่ยนระบบจากสัมปทานเป็นระบบพีเอสซีนั้น ประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกของโลกที่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชนภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม  โดยกำาหนดขั้นตอนและเวลาการประมูล 4 ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้  
1.การออกประกาศเชิญชวนและพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Qualification Evaluation) เปิดให้ผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมประมูลต้องยื่นคุณสมบัติเบื้องต้น เพื่อแสดงสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง โดยต้องแสดงข้อมูลการถือครองหุ้นในกิจการระหว่างปี 2559 – 2560 มีเงินทุนสำหรับยื่นแหล่งเอราวัณ  4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แหล่งบงกช  2,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ผลิตก๊าซธรรมชาติในทะเลไม่ต่ำกว่า 100 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประมูล ผ่านทางเว็บไซต์กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (http://www.dmf.go.th/bidding2018) ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2561 เป็นต้นไป จากนั้นสามารถยื่นแบบฟอร์มแสดงความจำนงในการเข้าร่วมพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นในวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 และยื่นหลักฐานแสดงคุณสมบัติเบื้องต้น ในวันที่ 15 - 16 พฤษภาคม 2561 ซึ่งจะแจ้งผลการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 
2.การเข้าถึงและการศึกษาข้อมูลในห้องข้อมูล (DATA ROOM) ผู้ประมูลหลังผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นแล้ว สามารถยื่นเอกสารแสดงเจตจำนงในการเข้าถึงข้อมูลระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2561 โดยต้องวางเงินค้ำประกันสัญญา 7 ล้านบาท จากนั้นสามารถเข้าศึกษาข้อมูล ได้ตั้งแต่ วันที่ 7 มิถุนายน - 21 กันยายน 2561 
 3.การยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในทีโออาร์ ต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ วันที่ 25 กันยายน 2561 ซึ่งต้องเงินยื่นซองประมูล 50,000 บาท/ซอง และหลักประกันการยื่นคำขอ 3 ล้านบาท/แหล่งประมูล
4.การพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการประมูล จะพิจารณาเอกสาร หลักฐาน ข้อเสนอด้านเทคนิค และผลประโยชน์ตอบแทนรัฐของผู้เข้าร่วมประมูลตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ คาดประกาศผลผู้ที่ชนะการประมูลเดือนธันวาคม 2561 และจะมีการลงนามสัญญากับผู้ชนะการประมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยยืนยันการดำเนินเป็นไปตามมาตรฐานสากล ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศและประชาชนมีก๊าซธรรมชาติใช้อย่างต่อเนื่องในราคาที่เหมาะสม