นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดสัมมนาเพื่อประเมินความสนใจของภาคเอกชน ในโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายหาดใหญ่ ไปถึงชายแดนไทย-มาเลเซีย ระยะทางประมาณ 62 กิโลเมตร เพื่อลดปริมาณความหนาแน่นของการจราจร ที่จะเดินทางสู่ภาคใต้ตอนล่างว่า จากเดิมประชาชนที่จะสัญจรไปยังภาคใต้นอกจากเดินทางด้วยทางอากาศแล้ว ยังจะสามารถเดินทาง ทางถนนได้โดย ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 หรือ ถนนเพชรเกษม ได้เพียงเส้นทางเดียว ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณรถที่เดินทางสะสมจำนวนมาก โดยเฉพาะเส้นทางที่จะมุ่งหน้าสู่ด่านชายแดนสะเดา และปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นด่านชายแดนที่มีมูลค่าการค้าสูงถึงปีละเกือบ 500,000 ล้านบาท

ดังนั้นกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง มีการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ถึงความเหมาะสมที่จะดำเนินการในโครงการ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชนที่จะเดินทางลงสู่ภาคใต้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังจากการรับฟังความเห็นของนักลงทุนแล้ว จะสามารถนำเสนอโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในปลายปี 2561นี้ แน่นอน

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการหลังจากนั้น คาดว่าจะเริ่มกระบวนการก่อสร้างในปี 2562 และจะสามารถเปิดให้บริการในทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายหาดใหญ่-ชายแดนไทย-มาเลเซีย ได้ในปี 2565 โดยมั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร และเพิ่มมูลค่าการค้าบริเวณพื้นที่ด่านชายแดนภาคใต้ ซึ่งจากการประเมินพบว่า จะมีปริมาณการจราจรวันละกว่า 20,000 คัน และเพิ่มขึ้นสูงได้ถึงวันละกว่า 46,000 คัน ในปีที่ 30 ของการเปิดให้บริการ สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 2,145 ล้านบาท

นายอาคม กล่าวว่า สำหรับเส้นทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายหาดใหญ่-ชายแดนไทยมาเลเซีย ระยะทางประมาณ 62 กิโลเมตร นั้นจะเริ่มต้นจากจุดตัดระหว่างถนนเพชรเกษม บริเวณ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา สิ้นสุดที่ด่านศุลกากรสะเดา แห่งที่ 2 อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเส้นทางจะสามารถเชื่อมต่อได้กับสนามบินหาดใหญ่ และนิคมอุตสาหกรรมในภาคใต้ได้ โดยมีด่านเก็บเงินระบบปิด 4 ด่าน คิดอัตราค่าผ่านทางแรกเข้าเริ่มต้น 10 บาท และคิดตามระยะทางอีกกิโลเมตรละ 1.25 บาท อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บค่าผ่านทางนี้จะเชื่อมเข้ากับระบบเข้ากับบัตรแมงมุม หรือตั๋วร่วมได้ในอนาคตด้วย

ทั้งนี้ รูปแบบโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายหาดใหญ่ ไปถึงชายแดนไทย-มาเลเซีย (M84) ถือเป็นโครงการร่วมลงทุน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปีและระยะเวลาดำเนินงานรวมถึงบำรุงรักษาไม่เกิน 30 ปีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 37,399 ล้านบาท และมีมูลค่าการดำเนินงานประกอบด้วยค่าดำเนินงาน และค่าบำรุงรักษาอีก 19,623 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนของโครงการ 57,022 ล้านบาท