นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงกรณีที่ กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีการกระทำอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน โดยรู้เห็น ปล่อยปละละเลยให้มีการคิดค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เกินกว่าที่กฎหมายและประกาศของ กสทช.กำหนด สร้างความเดือดร้อนและเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก นับแต่ได้รับใบอนุญาตจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าความเสียหายเกิดขึ้นกับประชาชนหลายสิบล้านคน และเกี่ยวข้องกับหมายเลขโทรศัพท์ประมาณ 20,000,000 หมายเลข เป็นเงินเสียหายที่เตรียมการจะฟ้องเรียกคืนให้ประชาชนผู้บริโภคจากทั้ง 3 บริษัทผู้ประกอบการ คือ บ.ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น (เครือ TRUE) , บ.แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (เครือ AIS) และ บ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (เครือ DTAC) ค่าเสียหายคิดราคาเกินจริงและประกาศของ กสทช. ประมาณเดือนละ 4,000 ล้านบาท (รวม 22 เดือน 88,000 ล้านบาท) เหตุเกิดหลังการลงนามในสัญญามีคำสั่ง กสทช.เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2559 เรื่อง อัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ให้บริการบนคลื่นความถี่สำหรับการประกอบกิจการโทรคมนาคมย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ และย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ หรือค่าโทรศัพท์ไม่เกิน 69 สตางค์ต่อนาที รวมค่าเสียหายของประชาชนเป็นมูลค่า 88,000 ล้านบาท และต้องคิดตามอัตราความเป็นจริงซึ่งเป็นเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา แต่ กสทช. ละเว้นหน้าที่กำกับควบคุมและมุ่งให้ประโยชน์ต่อทั้ง 3 บริษัทผู้ประกอบการ โดยผู้มีอำนาจหน้าที่มิได้รักษากฎหมายและผลประโยชน์ของประเทศ หรือทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยสร้างความเดือดร้อนเสียหายมากมายมหาศาล
ซึ่งเคยมีกรณีคดีเปรียบเทียบที่ศาลคดีทุจริตกลางเคยมีคำพิพากษาไว้ว่าในหลักความผิดคล้ายกันในคดีที่นายสุธรรม มะลิลา อดีต ผอ.ทศท. ได้แก้ไขสัญญาให้บริษัทเอไอเอสได้ประโยชน์ โดยการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริต คอร์รัปชั่น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานรัฐคือ ทศท. ในขณะนั้น ทั้งนี้ตนจะทำหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงให้นายกรัฐมนตรีทราบอย่างเป็นทางการเพื่อสั่งการแก้ไขในฐานะผู้มีอำนาจและหน้าที่ต่อไป