"เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์"
ยิ่งนานวันยิ่งเลื่อนลอย !!
เส้นทางสายนี้มากด้วยขวากหนาม
สถานบันเทิงครบวงจร หรือ"เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ที่รัฐบาล นส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังผลักดันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศ กำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก จากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดให้มีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายขึ้นในประเทศไท
คณะรัฐมนตรี มีมติ เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2568 เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ที่จัดทำโดยกระทรวงการคลัง โดยอ้างว่า ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแล้ว มีผู้แสดงความคิดเห็น 71,289 คน มีผู้เห็นด้วยร้อยละ 80 (จำนวน 57,000 คน) และได้นำส่งร่างกฏหมายนี้ ไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
รายละเอียดสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แก่ การดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่จะต้องมีธุรกิจ อย่างน้อย 4 ประเภท ได้แก่ 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3.สถานบริการ 4.สนามกีฬา 5.ยอร์ชและครูซชิ่งคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7.สระว่ายน้ําและสวนน้ํา 8.สวนสนุก 9.กิจการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด นอกเหนือจากกาสิโน ซึ่งจะไม่เกิน 10% ของที่ดินหรือพื้นที่ใช้สอยของอาคาร
โดยคนไทยที่จะเข้ากาสิโนได้ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน (เสียค่าเข้า ครั้งละ 5,000 บาท)
แต่ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายนี้ คือการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมากำหนดนโยบายและควบคุมการดำเนินกิจการ จำนวน 3 หน่วยงาน ได้แก่
(1) คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกฯ ที่นายกฯ มอบหมาย นั่งรองประธานฯ มีกรรมการโดยตำแหน่ง 10 คน ได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง, ผบ.ตร. , เลขาธิการ BOIเลขาธิการ ปปง. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่นายกฯ แต่งตั้งไม่เกิน 6 คน ซึ่งจะมีหน้าที่และอำนาจในการเสนอแนะนโยบายต่างๆ ต่อ ครม. เช่น การกำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจ การกำหนดจำนวนในอนุญาต และเสนออัตราภาษีที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
(2) คณะกรรมการบริหารสำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้แต่งตั้ง ประธานคณะกรรมการ เพื่อทำหน้าหน้าที่ควบคุมการดำเนินงานของ ‘สำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร’ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการนโยบาย
(3) สำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งจะเป็นหน่วยงานของรัฐ ระดับปฏิบัติการ (operational) โดยมีวัตถุประสงค์ในการควบคุม กำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบธุรกิจของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
พลันที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ปรากฏโฉมออกมา เสียงคัดค้านก็ดังกระหึ่ม !!
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ปัญหาใหญ่ที่สุด คือการยกร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ นอกจากนี้ยังกำหนดให้จัดสรรใบอนุญาตโดยใช้วิธีคัดเลือก และให้คะแนนตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ฝ่ายการเมืองกำหนดขึ้น แทนที่จะใช้วิธีการประมูล จึงอาจส่งผลต่อความโปร่งใส จากการใช้ดุลพินิจในการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการ “ขอเสนอให้รัฐบาลทบทวนโครงการนี้ โดยเริ่มจากการศึกษาความเป็นไปได้ที่ได้มาตรฐาน ถ้าพบว่าได้ผลประโยชน์มากกว่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจริง ก็ควรประกาศจำนวนใบอนุญาตที่จะออกก่อนล่วงหน้า แล้วออกใบอนุญาตด้วยวิธีการประมูลแข่งขันกัน จากผู้ขอใบอนุญาตที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ครบถ้วน”
ส่วนผู้คัดค้านอีกหลายกลุ่ม ให้เหตุผลว่า การให้มีบ่อนกาสิโนถูกกฏหมาย แม้ว่าจะใช้พื้นที่เพียง 10 % ก็จะส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก เพราะคนไทยลักลอบเล่นการพนันมากอยู่แล้ว อีกทั้งการพนันออนไลน์ก็เข้าถึงประชาชน เด็กและเยาวชนจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปราบปรามได้ หากรัฐบาลเปิดบ่อนถูกฎหมายขึ้นมาอีก แถมยังมีข่าวว่าจะเปิดพนันออนไลน์ด้วย ต่อไปสังคมจะเปิดใจยอมรับการพนันมากขึ้น กระทบต่อค่านิยมในสังคม จะเกิดปัญหาการลัก วิ่ง ชิงปล้น การขายบริการทางเพศ และจะกลายเป็นแหล่งฟอกเงินให้กับนักธุรกิจ ข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ จะมีนักพนันที่สิ้นเนื้อประดาตัว เป็นโรคซึมเศร้า และฆ่าตัวตายมากขึ้น
หลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ได้รับการบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมสภาผู้แทนฯ เมื่อ 3 เม.ย. 68 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้เลื่อนการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ... ขึ้นมาประชุมก่อน ทำให้เกิดความขัดแย้งกับ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาฯ พิจารณามาตรการจัดการผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบก่อน เพื่อนำเสนอให้ ครม. พิจารณาดำเนินการ
จากความขัดแย้งนี้ ร้อนหนักขึ้นไปอีก เมื่อ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ออกมาพูดกลางสภาว่า “ผมขอประกาศในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ว่า “ผมนายไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของนายเนวิน และนางกรุณา ชิดชอบ ผมเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน”
ทำให้เกิดกระแสข่าวว่า อาจจะนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี ทำให้ นายอุทิน ชาญวีระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขอยืนยันว่า สิ่งที่นายไชยชนก พูดนั้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ในฐานะสส.คนหนึ่งที่ทำหน้าที่ แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ต้องทำตามมติของพรรค เพราะพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะฉะนั้นเรื่องใดๆของรัฐบาลที่มีการแถลงร่วมกันไปแล้ว พรรคภูมิใจก็ยินดีที่จะให้การสนับสนุน”
แต่ในท้ายที่สุด ร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...ไม่ทันได้พิจารณาในสมัยประชุมนี้ เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญ ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2568 ทำให้ร่างดังกล่าวจะต้องเลื่อนไปพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภาฯ สมัยหน้า ซึ่งคาดว่าจะเปิดประชุมได้ในเดือนกรกฎาคม 2568
กระนั้นก็ตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้คัดค้าน ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะเวทีคัดค้านหลักของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) หากแต่ในปัจจุบัน กลุ่มที่ออกมาคัดค้านการตั้งบ่อนกาสิโน ขยายวงไปกว่า 30 กลุ่ม อาทิ กลุ่มอดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เกือบ 300 คน, กลุ่มราชบัณฑิตและภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง (ราชบัณฑิต 33 ราย ภาคีสมาชิก 37 ราย), กลุ่มเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม, กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เกือบ 10 กลุ่ม, พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย, สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย, กลุ่ม 99 นักวิชาการ, พรรคประชาชน และแม้แต่พรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เอาด้วย เพราะขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม ล่าสุดองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (อศ.มร.) ได้ออกมาคัดค้านด้วยเช่นกัน
หลายคนกำลังจับตาดูว่า ท่ามกลางเสียงคัดค้านมากขนาดนี้ รัฐบาลจะกล้าสวนกระแสออกมาผลักดันโครงการนี้ต่อไปอีกหรือไม่ ก็ต้องตามดูกันต่อไป !!