รมว.ยุติธรรม เดินหน้าทลายขบวนการค้ายาเสพติดพื้นที่ จชต. แถลงจับยาไอซ์ 615 กิโลกรัม พร้อมของกลาง เร่งขยายผลผู้บงการรายใหญ่
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตาม เร่งรัด การดำเนินงานป้องกัน ปราบปรามและแก้ไข ปัญหายาเสพติด ลงพื้นที่จังหวัดยะลา ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า อ.เมือง จ.ยะลา แถลงการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยาไอซ์ 615 กิโลกรัม พร้อมผู้ต้องหา ของกลางหลายรายการ โดยมี พลตำรวจโท ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พลตรี กรกฎ ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า นางสาวอารีภักดิ์ เงินบำรุง รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พลตำรวจตรี กฤษฎา แก้วจันดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมุ่งเน้นให้มีการป้องกัน ปราบปราม อย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ และสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่ง ที่ 352/2567 แต่งตั้งคณะกรรมการติดตาม เร่งรัด การดำเนินงานป้องกัน ปราบปรามและแก้ไข ปัญหายาเสพติด หรือเรียกว่า คณะกรรมการ ครส. โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน และคณะกรรมการ ครส. โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานกรรมการ ได้มอบหมาย ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กำหนดแผนรวมพลังจิตอาสา เอาชนะยาเสพติด ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้น เพื่อบูรณาการกำลังทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนงานด้านการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ 3 จว. และ 4 อ. ของ จว.สงขลา โดยเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 30 กันยายน 2568 นั้น ในด้านการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย โดยมอบหมายให้ตำรวจภูธรภาค 9 เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณการกำลัง กับหน่วยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กำลังทหารในพื้นที่ , กก.3 บก.ปส. 4, สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 9 เข้าปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ 150 หมู่บ้าน ชุมชน ซึ่งผลการปฏิบัติตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นมาสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 218 คดี ผู้ต้องหา 241 คน ของกลาง ยาบ้า 681,753 เม็ด ยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 17,222,996 บาท
สำหรับกรณียาไอซ์ ที่จับกุมในครั้งนี้ เป้าหมายคือการส่งผ่านไปยังประเทศที่สาม รวมทั้งนำมาใช้ในพื้นที่ของประเทศไทยที่อยู่แนวชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อประเทศเพื่อนบ้านมีการผลักดันอย่างเข้มข้น ยาเสพติดก็จะอยู่ในประเทศ นักท่องเที่ยวก็จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้รับความเสียหาย ปัจจุบันยาเสพติดถือเป็นปัญหาในระดับความมั่นคง ที่ทางรัฐบาลในความสำคัญในการกวาดล้างอย่างจริงจัง พร้อมทั้งขยายผลไปยังผู้ที่บงการ ผู้ค้ารายใหญ่ ที่มีการฟอกเงินจากขบวนการค้ายาเสพติด พร้อมทั้งเตรียมการหารือในการประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาความร่วมมือในการแก้ไขอย่างจริงจัง พร้อมทั้งเปลี่ยนจากแผนบูรณาการ เป็นแผนยุทธการ ในการแก้ไขอย่างจริง ของแต่ละพื้นที่ โดยอาศัยพลังจิตอาสา เอาชนะยาเสพติด ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้น เพื่อบูรณาการกำลังทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนงานด้านการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมทั้งแนวทางการบำบัด ฟื้นฟู เป็นการให้โอกาสผู้หลงผิด ได้กลับตัวกลับใจ คืนสู่สังคม ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ ต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เจ้าพนักงานตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.จชต. และหน่วยที่เกี่ยวข้องภายใต้อำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4, พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส., พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9, พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ รอง ผบช.ภ.9, พล.ต.ต.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล ผบก.สส.จชต., นำโดย พ.ต.อ. รัมลี วาเตะ ผกก.ฯ รรท.ผกก.สส.2 บก.สส.จชต. ได้ทำการจับกุมนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 3 คน รายละเอียดดังนี้ 1.นายอีรฮัม หรือฮัง หามะ อายุ 28 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 47/18 ม.3 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส
2.นายอับดุลฮาดี หรือแบดี อาแซ อายุ 57 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 11 ม.4 ต.มูโน๊ะ อ.สุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส
3.นายไฟท์ซาร์ หรือแบซา หลง อายุ 45 ปี ที่ อยู่ บ้านเลขที่ 47/5 ม.3 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส
พร้อมของกลาง 1. ไอซ์ น้ำหนัก 615 กิโลกรัม 2.รถยนต์ จำนวน 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง
โดยกล่าวหาว่า "ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์หรือไอซ์) อันมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชน และ ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่งคงของรัฐหรือความปลอดภัย ของประชาชน โดยผิดกฎหมาย” เหตุเกิด บริเวณบ้านไม่มีเลขที่ ชุมชนลูโบะฆง ม.3 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส พฤติการณ์ในการจับกุมดังกล่าว คือ เจ้าหน้าที่ ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.จชต. ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ทหาร, ปปส.ภาค 9, กก.3 บก.ปส.4, และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการสืบสวนติดตาม จับกุมเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีพฤติการณ์ร่วมกัน ติดต่อนักค้ายาเสพติดให้พื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในการลักลอบลำเลียง ยาเสพติดชนิดยาบ้า และไอซ์ มาจำหน่ายให้กับเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจับกุมและขยายผล ทำลายเครือข่าย อย่างต่อเนื่อง สำหรับการจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อเดือนกันยายน 2567 เจ้าหน้าที่ ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.จชต. ได้ร่วมกันตรวจยึด ยาเสพติดชนิดยาบ้า จำนวน 396,000 เม็ด และออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 1ราย เหตุเกิดที่ ชุมชนลูโบะฆง ม.3 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส หลังจากนั้นได้มีการสืบสวนติดตามเครือข่ายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง กระทั่งทราบว่า บุคคลในเครือข่ายดังกล่าวที่ยังไม่ถูกจับกุมยังมีความเคลื่อนไหว ในการลักลอบลำเลียง ยาเสพติด จากพื้นที่ ภาคเหนือและภาคอีสาน เข้ามาพักเก็บ ในบริเวณหมู่บ้านที่เกิดเหตุ จึงได้ ทำการ สืบสวน โดยประสานกับแหล่งข่าวในหมู่บ้านชุมชน ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ต่อมาก่อนเกิดเหตุ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า เครือข่ายดังกล่าวมีการเตรียมการที่จะลำเลียงยาเสพติดชนิดไอซ์ จำนวนมาก เข้ามาพักเก็บ ในบริเวณหมู่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อรอส่งให้เครือข่ายในพื้นที่และส่งออก ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้ประสานกำลังหน่วยที่เกี่ยวข้อง ร่วมปฏิบัติการสืบสวนติดตาม ต่อมาในวันเกิดเหตุได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าเครือข่ายดังกล่าวได้มีการลำเลียงยาเสพติดมาซุกไว้ ที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุ จึงได้ร่วมกันเดินทางเข้าตรวจสอบ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อม ของกลางดังกล่าว สำหรับบุคคลในเครือข่ายที่ยังไม่ถูกจับกุม และทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิด ของเครือข่ายอยู่ระหว่างขยายผลเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สรุปผลการปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ 2568 (ห้วงวันที่ 1 ตุลาคม 2568 -ปัจจุบัน) สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 12,107 คดี ผู้ต้องหา 12,538 คน ของกลาง ยาบ้า จำนวน 19,278,016 เม็ด ไอซ์ จำนวน 1,112 กิโลกรัม เฮโรอีน จำนวน 235 กิโลกรัม ยึดทรัพย์สิน มูลค่าประมาณ 590,721,409 บาท