ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
พลังงาน / สิ่งแวดล้อม ย้อนกลับ
นายกฯ ย้ำกระทรวงพลังงานดูแลประชาชน ส่งเสริมให้ภาคพลังงานมีความมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน
18 มิ.ย. 2568

นายกฯ สั่งการกระทรวงพลังงานให้ดูแลประชาชน ส่งเสริมให้ภาคพลังงานมีความมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน ขณะที่กระทรวงพลังงาน ยังคงมุ่งเน้น 3 เสาหลักสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 5/2568โดยมีพันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน และนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงให้การต้อนรับ โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งขอให้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอย่างใกล้ชิด

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นเจ้าภาพในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ซึ่งมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุม กระทรวงพลังงานได้นำเสนอภารกิจ ผลงานที่สำคัญ และแผนงานในอนาคตที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงพลังงาน ยังคงมุ่งเน้น 3 เสาหลักสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน ได้แก่ 1. ความมั่นคงทางพลังงาน โดยภาคการผลิตและการใช้ต้องมีความมั่นคง เร่งจัดหาแหล่งพลังงานราคาถูกเพิ่มขึ้น 2. พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าสีเขียวเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติหันมาลงทุนตั้งโรงงานและ Data Center ในประเทศ 3. พลังงานคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทั้งภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม การกำหนดมาตรฐานต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญ และคาดว่าจะได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กำชับให้กระทรวงพลังงานเตรียมมาตรการรองรับดูแลราคาพลังงานและความมั่นคงทางพลังงานหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยเบื้องต้นกระทรวงพลังงานเตรียมหารือกับผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อขอให้สำรองน้ำมันมากขึ้นกว่าที่กฎหมายกำหนด  จากปัจจุบันที่ไทยมีสำรองน้ำมันอยู่ 60 วัน

สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด

ส่วนการดูแลผลกระทบราคาน้ำมันในประเทศยังสามารถใช้กลไกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาดูแลได้  โดยหากราคาน้ำมันปรับขึ้นอีก 4-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อใช้มาตรการภาษีเข้ามาช่วยพยุงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเพิ่มเติม เพื่อพยายามตรึงราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตามสถานการณ์สู้รบยังส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าให้ปรับขึ้นถึง 13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู จากเดิมราคาอยู่ที่ 11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ประกอบกับปัจจุบันต่างประเทศเริ่มเตรียมพร้อมสำรอง LNG รองรับฤดูหนาวในช่วงนี้ จึงส่งผลกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าได้ ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา 4-5 แนวทางดูแลค่าไฟฟ้าให้อยู่ในอัตรา 3.98 บาทต่อหน่วย ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาในสัปดาห์หน้าต่อไป

นอกจากนี้กระทรวงพลังงานได้รายงานนายกรัฐมนตรี ถึงมาตรการส่งเสริมให้บ้านอยู่อาศัยติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ขนาดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ให้สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้หารือกับกระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดต่างๆ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตามเบื้องต้นจะครอบคลุมกลุ่มผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปรายใหม่ที่ติดตั้งในปี 2568 จะได้สิทธิ์ดังกล่าว ส่วนผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปรายเก่า ยังต้องรอพิจารณาว่าจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้ไหม

สำหรับในที่ประชุมครั้งนี้ นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะกระทรวงเจ้าภาพการจัดประชุม ได้รายงานสถานการณ์ด้านพลังงาน ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมามีการนำเข้าและมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 93% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการใช้ไฟฟ้า 2.1 แสนล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5% และความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ Peak อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์หรือเพิ่มขึ้นถึง 5%

ในส่วนของภารกิจสำคัญของกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทั้งการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า ซึ่งตลอดปี 2567 จนถึงปัจจุบัน อัตราค่าไฟฟ้าก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าน้ำมันกระทรวงพลังงานก็ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูง และบริหารจัดการจนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากมีหนี้กว่า 120,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จนปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 36,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มหรือ LPG และ NGV ซึ่งเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพของประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้เร่งขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสีเขียว” ด้านพลังงานที่ครอบคลุมทั้งการใช้และการจัดหา โดยในด้านการใช้ ได้เริ่มต้นการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมา สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 110 ล้านหน่วย และลดการใช้น้ำมันได้กว่า 4 ล้านลิตร การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เตาชีวมวล ส่วนในด้านการจัดหา ได้เร่งพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน และลดขั้นตอนการขออนุญาตเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเอกชน สามารถเข้าถึงและให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Rooftop รวมทั้งการเปิดประมูลสัมปทานขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมทั้งพื้นที่บนบกและในทะเล และการพิจารณาความเป็นไปได้ของการจัดหา LNG จากแหล่งอะแลสกา ซึ่งเป็นแหล่งทางเลือกที่มีศักยภาพและอาจช่วยลดต้นทุนการจัดหา LNG ของประเทศได้

ในด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาก็ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรุงเทพมหานคร ในการร่วมกันลดฝุ่น PM2.5 และในอนาคตก็ได้วางแผนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR (โรงไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก) การส่งเสริมการใช้น้ำมัน SAF ในอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงการคลัง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทรนด์โลกที่กำลังจะมา รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมให้เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS

ส่วนการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายระหว่างกระทรวงพลังงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือในที่ประชุมที่สำคัญ อาทิ การขอเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้านปิโตรเลียม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ กรมศิลปากร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม การส่งเสริมการใช้ Solar Rooftop หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทกศาสตร์ กรมเจ้าท่า เป็นต้น

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 มิถุนายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
17 มิ.ย. 2568
หากจะหันไปมองการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ. ที่ผ่านมาหมาดๆ เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ กล่าวได้ว่า กลุ่ม “บ้านใหญ่” กวาดไปได้เป็นส่วนใหญ่ตามคาด และก็มีจำนวนถึง 29 คน ที่คว้าชัยการเลือกตั้งต...