นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เปิดเผยว่าโครงการก่อสร้าง “กระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง” ซึ่งเป็นการเดินหน้าพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแมนเมด หรือสร้างด้วยมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานานกว่า 4 ทศวรรษ ขณะนี้ยืนยันว่าจะสามารถดำเนินการจนสำเร็จแน่นอนโดยอพท.จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานของบประมาณมาพัฒนา เช่น การของบจากคณะรัฐมนตรี 1,000 ล้านบาทเพื่อขับเคลื่อนโครงการกระเช้าภูกระดึงหลังจากได้ประกาศไทม์ไลน์ชัดเจนว่าใช้เวลา 30 เดือนนับจากนี้ สามารถเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2570 และแล้วเสร็จในปลายปี 2570 เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวโดยชุมชนแม้ว่าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึงจะได้รับการถกเถียงจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักอนุรักษ์มานานหลายทศวรรษ แต่จากการสอบถามความคิดเห็นล่าสุดพบว่ากว่า 70% เห็นด้วยกับโครงการนี้ ส่วนอีก 20% รู้สึกเฉยๆ กลางๆ และที่เหลืออีก 10% ไม่เห็นด้วย เฉพาะชาวบ้านในจังหวัดเลย ส่วนใหญ่แทบจะเห็นด้วย 100% กับโครงการนี้

“ข้อถกเถียงความห่วงใยในการสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง ปรับลดลงเยอะมาก อาทิ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร แม้ยังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ประเด็นข้อห่วงใยที่ถูกหยิบยกขึ้นมาส่วนใหญ่ คือ การบริหารจัดการการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพหลังสร้างกระเช้าแล้วเสร็จ ส่วนข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังน้อยมาก โดย อพท.มีแผนจะเข้าพบผู้บริหารมูลนิธิฯ เป็นการส่วนตัวในเร็วๆ นี้ เพื่อชี้แจงข้อสงสัยทั้งหมด” นายศิริปกรณ์ กล่าว

อพท.จะกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง สอดรับกับที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 5,000 คนต่อวัน

นอกจากนี้กระเช้าไฟฟ้าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพ “การจัดการขยะ” บนภูกระดึงอีกด้วย ขณะเดียวกันยังตอบโจทย์ “การท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล” (Tourism for All) นักท่องเที่ยวผู้พิการและผู้สูงอายุสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปเยี่ยมชมภูกระดึงแบบไปกลับภายใน 1 วันได้ โดยมองเวลาเปิดให้บริการตั้งแต่ 05.00-20.00 น.

“ส่วนการกำหนดค่าโดยสารไปกลับต้องรอข้อสรุปอีกครั้งว่าจะอยู่ที่กี่บาท แต่ได้ศึกษาค่าโดยสารเทียบเคียงกับกระเช้าลอยฟ้าของแหล่งท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ส่วนใหญ่จัดเก็บที่อัตรา 800-1,000 บาทต่อคน”

อีกทั้งอพท. มีเป้าหมายจะพัฒนาถนนสายใหม่ 11 กม. เชื่อมบางเบ้า-สลักเพชร “เกาะช้าง” ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่พิเศษของ อพท. แห่งแรก ทำให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการประกาศให้เกาะช้างเป็น “เดสติเนชันระดับโลก” ซึ่งจะของบจากกรมทางหลวงชนบท เพื่อก่อสร้างถนนรอบเกาะช้างปัจจุบันคนนิยมการท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น สัดส่วนรายได้ 70% มาจากการขายแพกเกจกิจกรรมท่องเที่ยว เป็นการใช้จ่ายในชุมชนกับชาวบ้านจริงๆ อีก 30% มาจากการขายสินค้าชุมชน

แนวโน้มการเติบโตของรายได้ของท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พิเศษดีมาก 5 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้สะสม 113 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีรายได้การท่องเที่ยวของ 55 ชุมชนใน 9 พื้นที่พิเศษ อยู่ที่ 114 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 4.19 แสนคน เติบโตจากปี 2566 ที่มีฐานรายได้การท่องเที่ยวจาก 45 ชุมชนในพื้นที่พิเศษอยู่ที่ 62.5 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 2.47 แสนคน