รองนายกฯ ประเสริฐ เปิดศูนย์อุตุ ติดตามพายุ "คาจิกิ" 24 ชั่วโมง สั่ง สทนช. บูรณาการทุกหน่วยรับมือเต็มกำลัง ย้ำไม่ท่วมรุนแรงเหมือนปี 54
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตกหนักเนื่องมาจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” จึงได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์พายุ ณ กรมอุตุนิยมวิทยา โดยเป็นการบูรณาการระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทา
สาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวังพายุและแจ้งเตือนสถานการณ์แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้
ได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ใช้กลไกของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย
ลุ่มน้ำโขงเหนือ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำยม-น่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ในการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งด้านการติดตามข้อมูล การประเมินความเสี่ยง และการเตรียมแผนเชิงรุก โดยเน้นการเร่งพร่องน้ำในลำน้ำและอ่างเก็บน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุ “วิภา” ช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างพื้นที่รองรับน้ำเพิ่มเติม พร้อมทั้งกำกับดูแลให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง ช่วยป้องกันและลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้มีการประเมินแนวโน้มสถานการณ์เปรียบเทียบกับอุทกภัยที่เคยเกิดขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะอุทกภัย
ครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 เพื่อเตรียมการรับมือได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ พบว่าสถานการณ์ในปีนี้มีความแตกต่างจากปี 2554 อย่างชัดเจน โดย ในปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 5 ลูกที่พัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ พายุโซนร้อน
นกเต็น พายุไหหม่า พายุไห่ถาง พายุไต้ฝุ่นเนสาดและนาลแก ประกอบกับมีร่องมรสุมพาดผ่านอย่างยาวนาน รวมถึงปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งทำให้ฝนเริ่มตกเร็วและตกมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ นอกจากนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคมของปี 2554 พบว่า เขื่อนขนาดใหญ่
ทั้งเขื่อนภูมิพลเขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ล้วนมีน้ำใกล้เต็มความจุ เมื่อเกิดฝนตกหนักจึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำ
ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยในเวลานั้นวัดปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ได้สูงถึง 4,689 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาถึง 3,726 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างและกินระยะเวลานาน
ในขณะที่ปี 2568 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุแล้ว 2 ลูก คือ พายุ “วิภา” และพายุ “คาจิกิ” โดยคาดว่ายังมีแนวโน้มเกิดพายุเพิ่มเติมได้อีกในช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้ปริมาณฝนโดยรวมเกินค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อย ในส่วนของเขื่อนขนาดใหญ่ ปัจจุบันยังมีความสามารถในการรองรับน้ำเพิ่มเติม โดยเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ ร้อยละ 68 ของความจุเก็บกัก ยังรองรับน้ำได้อีกกว่า 4,300 ล้าน ลบ.ม. ส่วนเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 82 ของความจุเก็บกัก รองรับได้อีกกว่า 1,700 ล้าน ลบ.ม. ด้านเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดกลางถึงใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ยังมีพื้นที่ว่างรวมกว่า 1,200 ล้าน ลบ.ม. พร้อมกันนี้ ได้คาดการณ์ล่วงหน้าในช่วง 7 วันนี้ ว่า จะมีปริมาณน้ำสูงสุดในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งวัดได้ 1,605 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีการระบายน้ำสูงสุดของเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 1,300 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ส่งผลกระทบในพื้นที่ลุ่มต่ำ นับว่าเป็นตัวเลขที่สะท้อนการร่วมมือกันดำเนินงานอย่างเต็มที่ของทุกหน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและตระหนักถึงบทเรียนจากปี 2554 เป็นอย่างดี โดยจะยังคงเดินหน้าบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ และขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจได้ว่า สถานการณ์ปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนเมื่อปี 2554 อย่างแน่นอน