ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
การเมือง / การปกครอง ย้อนกลับ
ณัฐพงษ์ ไม่เสียใจดัน อนุทิน นายกฯ แม้เสี่ยงเสียคะแนนนิยม
03 ก.ย. 2568

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568 เวลา 08.45 น.ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยแกนนำของพรรคประชาชน แถลงภายหลังสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ผลักดันนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯคนที่ 32 ว่า ช่วง 5 วันมานี้ เป็นช่วงเวลาไม่แน่นอน และจากกระแสข่าวเมื่อวาน มีกระแสข่าวยุบสภาฯ เรียนตามข้อเท็จจริงว่า ยังไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการ หรือรับรองอย่างเป็นทางการจากพรรคเพื่อไทย ว่ามีการทูลเกล้าฯ เสนอยุบสภาฯแล้วหรือไม่ อย่างไร ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ปชน. เราได้มีการประชุมเมื่อเช้านี้ ถึงข้อสรุปว่า พรรค ปชน.จะตัดสินใจอย่างไร ในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน 

นับตั้งแต่กรณีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ และฮุน เซน พรรค ปชน.ยืนยันโดยตลอดว่า ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ คือการคืนอำนาจให้ประชาชน กำหนดอนาคตประเทศผ่านการยุบสภาฯ เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรม มีเสถียรภาพในการแก้ไขปัญหาของประชาชน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง

แต่จนถึงวันนี้รัฐบาลผู้มีอำนาจในการยุบสภาฯ กลับไม่มีความชัดเจน ไม่ตอบสนอง มีความพยายามที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด โดยไม่สำนึกถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศ และประชาชนไม่อาจมอบความไว้วางใจให้แก่รัฐบาลชุดนี้ได้อีกต่อไป

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งเมื่อ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ปชน.จึงเห็นว่า หากพรรคงดออกเสียงในการพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกฯคนใหม่ อาจเกิดสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใด ได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ ซึ่งอาจเกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการไหลกลับไปรวมตัวกันของพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม ที่ได้บริหารประเทศล้มเหลวมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เสี่ยงเปิดทางให้หัวหน้ารัฐประหารกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง หรือไม่ก็เปิดช่องให้มีนายกฯคนนอก ขัดต่อหลักการที่พรรค ปชน.ยึดถือ

ตลอด 5 วันหลังจากได้พูดคุยกับพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ปชน.ได้พิจารณาอย่างละเอียดถึงความเข้าใจของ 2 พรรคต่อเงื่อนไขของพรรค ปชน. และกลไกในการควบคุมนายกฯคนใหม่รักษาสัญญาดังกล่าว ประกอบกับการรับฟังเสียงสมาชิกพรรค คณะทำงานพรรค สส. อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว วันนี้กรรมการบริหารพรรคจึงได้ประชุม และมีมติว่า หากมีการประชุมสภาฯ เพื่อให้ความเห็นชอบเลือกนายกฯคนใหม่ พรรค ปชน.จะให้ความเห็นชอบแก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยพรรคภูมิใจไทย จะต้องยอมตกลงเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่

พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว เพื่อสร้างหลักประกันว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

5. พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี

“มติของกรรมการบริหารพรรคในวันนี้ มีผลเมื่อหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงนามในข้อตกลงร่วมกันนี้ และมีถ้อยแถลงต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ สุดท้ายในฐานะหัวหน้าพรรค ปชน. ยืนยันต่อประชาชนว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของพวกเราไม่ได้ตัดสินใจ โดยใช้ความคิดเห็นหรือความนิยมผลประโยชน์ของ ปชน.เป็นตัวตั้ง แต่ตัดสินใจโดยมีเป้าหมาย เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออก ตามวิถีทางประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ป้องกันอำนาจนอกระบบแทรกแซง ปลดล็อคการจัดทำรัฐธรรมนูญ และคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกคงอาพยพของพรรค สส. คณะทำงาน เครือข่าย ทุกจังหวัด ถกเถียงรอบด้าน จำเป็นใช้อำนาจในสภาฯ ผ่านสส. 143 เสียง หาทางออกให้ประเทศ กำกับทิศทางเดินหน้าโดยเร็ว เปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรมนูญใหม่ เมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน ได้ข้อสรุปตามมติของกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ยืนยันว่าการตัดสินใจบนพื้นฐานของประเทศ และหลักประกันในการกำกับการทำงานของรัฐบาลที่มุ่งหน้าไปสู่การยุบสภาและปลดล็อคต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญ พรรคภูมิใจไทยทำให้เห็นได้ว่า เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ทำให้ สส.พรรคประชาชน ที่ทำงานในสภาฯ สามารถกำกับทิศทางได้ 

เมื่อถามถึงสถานการณ์การเมืองที่พรรคเพื่อไทย จะดำเนินการยุบสภา นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เวลานี้สิ่งสำคัญต้องเชื่อข่าวสารจากผู้มีอำนาจตัวจริง มีการปล่อยข่าวจากหลายส่วน ให้เกิดสถานการณ์ความไม่แน่นอนผู้บริหารพรรคตัดสินใจอยู่บนข้อเท็จจริง และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ มีอำนาจยุบสภาฯ เราต้องการหาทางออกให้ประเทศ หากทูลเกล้าฯ ยุบสภาหรือไม่ ต้องถามพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นการ 

เมื่อทูลเกล้าฯไปแล้ว จะเกิดสถานการณ์อย่างไรต่อต้องถามประธานสภาฯ ว่าจะดำเนินการอย่างไร และถามพรรคภูมิใจไทยเช่นกันว่า เงื่อนไขตามที่ตนแถลงแล้ว พรรคภูมิใจไทยตอบรับเงื่อนไขนี้หรือไม่ ส่วนเรื่องข้อกฎหมายนั้น เรายืนยันว่า นายกฯรักษาการมีอำนาจในการทำ ส่วนพรรคเพื่อไทยจะทำหรือไม่ อย่างไร ต้องถามพรรคเพื่อไทย หรือนายภูมิธรรมเอง

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การหารืออย่างเป็นทางการ จนได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ เกิดขึ้นผ่านการประชุมผู้บริหารพรรค ช่วงค่ำเมื่อคืน และเช้านี้ เพื่อกลั่นกลองสถานการณ์ล่าสุดก่อนการตัดสินใจ ส่วนโต๊ะที่ตั้งไว้ ยังไม่ได้ลงนามแต่อย่างใด แต่เป็นทางตน ที่จะลงนามฝ่ายหนึ่งก่อน ส่วนอีกฝ่ายก็อย่างที่แถลงไป เงื่อนไข 5 ข้อสักครู่นี้ พรรคภูมิใจไทยยอมรับหรือไม่ นายอนุทินต้องลงนาม และแถลงต่อสาธารณชน

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า เราตัดสินใจบนทางออกของประเทศ หลักประกันให้พวกเรามั่นใจว่า กำกับรัฐบาลชุดใหม่ มุ่งหน้าสู่การยุบสภาฯ จัดทำประชามติเปิดช่องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลักประกันให้เรามั่นใจไปสู่จุดนั้น ประเมินตามข้อเท็จจริง พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ทำให้พวกเรามองเห็นตามหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ว่า ปชน.ใช้เสียง สส.ข้างมากกว่าในฐานะฝ่ายค้าน กำกับทิศทางเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดนั้น

“ข้อเท็จจริงเหล่านั้นพิจารณารอบด้านแล้วเช่นกัน ทั้ง 2 ฝ่ายมีประวัติที่ผ่านมาของการกระทำที่ประชาชนได้เห็นว่า มีประวัติในการใช้อำนาจ ทำอะไรที่ไม่ได้เป็นผลประโยชน์ หรือทางออกของประเทศบ้าง แต่อย่างที่เรียนว่า สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ถ้าเราเห็นตรงกันว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เปิดประตูจัดทำรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ คำถามคือการที่ ปชน.ไม่เลือกผู้ใด ณ ตอนนี้ ไม่สามารถนำไปสู่จุดนั้นได้ แต่ขณะเดียวกัน 143 เสียงที่เรามี สามารถกำกับทิศทางไปสู่จุดนั้นได้ มีความเสี่ยงที่เราประเมินรอบคอบรอบด้านแล้ว ทุกคนมองออกว่า ไม่ได้ตัดสินใจเพื่อคะแนนความนิยม เสี่ยงที่ ปชน.จะสูญเสียคะแนนนิยม แต่เราตัดสินใจครั้งนี้เพื่อสร้างทางออกให้ประเทศจริง ๆ” นายณัฐพงษ์ กล่าว

เมื่อถามถึงความกังวลเรื่องการตระบัดสัตย์หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การเขียนหลักประกัน ทำให้พรรคภูมิใจไทยต้องมีต้นทุนสูงที่สุด ถ้าตระบัดสัตย์กับประชาชนอีก 1 ครั้ง ที่ผ่านมา สิ่งที่ประชาชนได้ลงโทษกับพรรคที่ตระบัดสัตย์ เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นพวกเราในทางปฏิบัติ เราจะพยายามกำกับให้พรรคภูมิใจไทย เดินหน้าไปสู่การยุบสภาฯ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะเดียวกันถ้อยคำลายลักษณ์อักษร ในทางปฏิบัติอาจบิดพลิ้วได้ แต่ถ้าบิดพลิ้วก็ถือเป็นต้นทุนที่เขาต้องแลกมา

เมื่อถามถึงกรอบเวลายุบสภา 4 เดือน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ประชาชนมองเห็นได้ร่วมกัน ในฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตอนนี้เพียงแค่วิเคราะห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนอนาคตเรานำความเสี่ยงมาประกอบเช่นกัน เป็นตามกรอบใน 4 เดือนหรือไม่ ปชน.มีหน้าที่ใช้เสียงที่เรามีกำกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้เดินไปสู่จุดนั้น ถ้ามีสถานการณ์ในอนาคต ตามความเหมาะสมที่เกิดขึ้น เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจเป็นมีการบวกลบ ต้องผ่านเปิดช่องผ่านมาตรา 256 กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าทำประชามติแค่ 2 ครั้ง เป็นเหตุผลให้สาธารณชนได้ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เช่นเดียวกัน ย้ำก่อนว่า เราต้องยึดกรอบ 4 เดือนเป็นตัวตั้ง สำคัญที่สุด

“ที่นำเรียนว่า ต้องยึดข้อตกลงเป็นตัวตั้ง และการให้เหตุผลต่อสาธารณชนในอนาคต อยู่ที่ให้เหตุผล และการสื่อสารของพวกเรา และเหตุผลความจำเป็น เราได้รับฟังข้อกังวลนั้น จนเป็นเงื่อนไข 5 ข้อ ที่แตกเงื่อนไขออกมาว่า ศาลรัฐธรรมนูญให้ทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง” นายณัฐพงษ์ กล่าว

ทุกพรรคต้องพร้อมเลือกตั้งในทุกวัน ต้องนำเสนอนโยบายหาทางออกของประเทศได้ทุกเวลา ไม่อยากมองว่าเป็นเกมทางการเมือง เดินหน้าบีบใคร ได้พูดไปอย่างชัดเจนแล้วว่า ที่ ปชน.มองว่า คือการกำกับทิศทางประเทศเพื่อเดินหน้าเลือกตั้งโดยเร็ว พร้อมกับจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ส่วนพรรคการเมืองอื่นแถลงข่าวอย่างไร ก็แล้วแต่พรรคการเมืองนั้น 

เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยทราบมติแล้วหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรค และผู้บริหารพรรคประชุมกัน ส่วนการหารือ คุยกับทุกฝ่ายนอกรอบ และตนไม่ได้คุยโดยตรง ยืนยันว่าการแถลงวันนี้ รับทราบพร้อมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก 

“สำหรับ ความเสี่ยงสูงสุดของ ปชน.คือการไม่ดำเนินการตามข้อตกลง พรรคภูมิใจไทยต้องแบกรับต้นทุนการตระบัดสัตย์ต่อประชาชน ในสถานการณ์แบบนี้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

 

หัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่เสียใจกับมตินี้แต่อย่างใด และในช่วงเวลา 5 วันที่ผ่านมา ทางผู้บริหารพรรค ได้ไตร่ตรองละเอียดรอบคอบมากที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด รับฟังเสียงองคาพยพรอบด้าน ทำความเข้าใจในพรรค โดยเฉพาะกับสมาชิกพรรคที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง ทุกส่วนความเห็นส่วนใหญ่สอดคล้องกับที่เราแถลงไปเมื่อสักครู่

“เราไม่ได้ไว้วางใจนายกฯคนใดเข้าไปบริหารประเทศ เราจำเป็นต้องเลือกนายกฯเข้าไปทำหน้าที่เดินหน้าสู่การยุบสภาฯ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นี่คือการตัดสินใจของ ปชน.คำนึงทางออกประเทศเป็นหลัก มากกว่าคะแนนความนิยม และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง” นายณัฐพงษ์ กล่าว

ส่วนนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ ประธาน สส.ปชน. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงขั้นตอนการเสนอชื่อนายกฯคนใหม่ว่า กระบวนการลงมตินายกฯ ในเวลา 10.00 น. วันนี้ นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาฯคนที่ 1 ส่งข้อความนัดหมายตั้งแต่เมื่อวานว่า วันนี้นัดวิป 2 ฝ่ายในการหารือถึงวันโหวตนายกฯ ตามข้อบังคับแล้ว หากมีการบรรจุระเบียบวาระเพิ่มเติม จะมีการลงมตินายกฯได้เร็วสุดคือวันศุกร์ที่ 5 ก.ย. 

หลังจากนั้นนายณัฐพงษ์ ได้จรดปากกาลงนามในข้อตกลงร่วมระหว่างพรรค ปชน. และพรรคภูมิใจไทยดังกล่าว

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 16 กันยายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
29 ส.ค. 2568
หากจะมองหาผู้หญิงแกร่งในวัยกลางคนที่มาก ไปด้วยความสามารถ จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใน ต่างจังหวัดที่ขยันขันแข็ง มุมานะทั้งใฝ่เรียน หาความรู้ และทักษะต่างๆ เพื่อทำงานเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง และครอบครัวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และทุก ย่างก้าวของเธอมีความหมายอย่างยิ่ง จ...