ทีโอทีปักธงสิ้นปีกำไรสุทธิพันล้าน พลิกจากปี 60 ขาดทุนยับ 4 พันล้าน ทุ่ม 4 พันล้าน ลงทุนบรอดแบนด์เพิ่ม ตั้งเป้าสิ้นปีลูกค้า 1.5 ล้านราย พร้อมหาโมเดล IOT
นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที เปิดเผยถึงผลประกอบการ 5 เดือนแรกปี 2561ว่า มีกำไรสุทธิกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนถึง 1,700 ล้านบาท โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2561 จะมีกำไรสุทธิกว่า 1,000 ล้านบาท จากรายได้ทั้งหมด 50,000 ล้านบาท พลิกจากปี 2560 ที่มีรายได้ทั้งปี 38,976 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 4,261 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้หลักที่เพิ่มขึ้นชัดเจนคือ การเป็นพันธมิตรธุรกิจโมบายกับ “เอไอเอสและดีแทค” ราว 24,000 ล้านบาท และกับที่ทีโอทีทำเอง 36,000 ล้านบาท ขณะที่งบฯ ลงทุนปีนี้เตรียมไว้ 4,000 กว่าล้านบาท เน้นขยายธุรกิจบรอดแบนด์เป็นหลัก อีกส่วนจะใช้รุกธุรกิจดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ส่วนของทีโอทีเอง รายได้หลักจะมาจากบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 13,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้าราว 1.3 ล้านราย โดยเป็นผู้ใช้บริการด้วยเทคโนโลยีเคเบิลใยแก้ว 1 ล้านราย บริษัทตั้งเป้าจะปรับให้ลูกค้าที่เหลือ ซึ่งยังใช้สายทองแดงเปลี่ยนเป็นเคเบิลใยแก้วทั้งหมดภายใน 2 ปี เพื่อให้คุณภาพบริการดีขึ้นและเพิ่มสปีดให้สูงขึ้น สิ้นปีตั้งเป้าลูกค้าบรอดแบนด์ 1.5 ล้านราย
“แผนตลาดจะเน้นความเร็วที่ทุกคนหยิบจับได้จริงในทุกพื้นที่ เพราะความเร็วระดับ 1 Gbps ทีโอทีก็ให้บริการได้ แต่เป็นบางพื้นที่และก็มีแค่ลูกค้าบางกลุ่มที่อยากใช้ และจะออกแบบแพ็กเกจให้ลูกค้าคุ้มค่า พร้อมสร้างระบบ proactive maintenance คอยมอนิเตอร์โครงข่ายเพื่อซ่อมบำรุงอัตโนมัติ ไม่ต้องรอให้ลูกค้าแก้เหตุขัดข้อง ช่วยเพิ่มคุณภาพบริการและลดอัตราการยกเลิกให้ต่ำลง”
ขณะที่ธุรกิจโมบายของทีโอที นอกจากต้องเร่งขยายตลาดเองแล้ว จะเพิ่มพาร์ตเนอร์ที่จะเช่าใช้โครงข่ายไปให้บริการต่อ (MVNO) แต่ปีนี้อาจจะยังไม่เห็นชัดเจน แต่โดยรวมแล้วสิ้นปีตั้งเป้าลูกค้าโมบายไว้ที่ 1 ล้านเลขหมาย จากปัจจุบันมีอยู่ราว 1 แสนเลขหมาย
นายมนต์ชัย กล่าวด้วย่า อีกส่วนหนึ่งจะเกิดจากความพยายามปรับปรุงระบบการทำงานทั้งหมด อย่างที่เห็นได้ชัดคือ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนการดำเนินงานได้มากขึ้นกว่า 400 ล้านบาท แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำต่อ คือ การปรับโครงสร้างต้นทุนของทีโอทีให้ดีกว่าเดิม เพราะยังมีสิ่งที่ต้องปรับให้ลดลงมาเท่ากับคู่แข่ง
“ต้นทุนของบางบริการยังสูงกว่ามาก อาทิ การพยายามจัดซื้ออุปกรณ์ที่แต่ละจังหวัดจัดซื้อกันเอง ทำให้ไม่มีปริมาณมากพอจะต่อรองราคาได้และมาตรฐานอุปกรณ์อาจจะแตกต่างกัน จึงมีความพยายามจะรวมการจัดซื้อให้เป็นก้อนใหญ่ โดยการตั้งเกณฑ์ไว้ว่า หากค่าจัดซื้อสูงกว่าครั้งก่อนก็จะตีกลับโครงการ”
นายมนต์ชัย ยังเปิดเผยด้วยว่า อีกธุรกิจที่เร่งขยายคือ บริการด้านดิจิทัล ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันมุ่งไปที่ธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ขณะที่อินเทอร์เน็ตออฟทิงส์ (IOT) เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องหาตัวอย่างการใช้งานที่จะนำไปตอบโจทย์ในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้ลูกค้าเห็นประโยชน์จากการนำไปใช้ ไม่ใช่แค่การสร้างโครงข่ายเท่านั้น คาดว่าน่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางธุรกิจนี้ของทีโอทีราวๆ สิ้นปี