วันที่ 13 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดตามและมีความห่วงใยประชาชนกรณีแม่น้ำกระบุรี อ.กระบุรี จ.ระนอง ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่บริเวณลำห้วยต่างๆ ชายแดนในรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำกระบุรี โดยมีการเปิดหน้าดินเป็นบริเวณกว้างในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดการชะล้างหน้าดินเป็นตะกอน จนทำให้แม่น้ำกระบุรีมีสีขุ่นข้นและไม่สามารถนำมาบริโภคอุปโภคได้ตั้งแต่ ปี 2562
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า คพ.โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 15 (ภูเก็ต) ได้เก็บตัวอย่างตะกอนดินและน้ำ จำนวน 3 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 คลองกระนัย (ฝังไทย) จุดที่ 2 ปากกระ (เป็นจุดที่น้ำจากคลองยูงฝั่งเมียนมาไหลมาบรรจบ) และจุดที่ 3 แม่น้ำกระบุรี ห่างจาก จุดที่ 2 ประมาณ 100 ม. มีการตรวจวัดพารามิเตอร์ภาคสนามและในห้องปฏิบัติการ โดยเฉพาะโลหะหนักมีการตรวจวัดหลายชนิด ได้แก่ ปรอท (Hg) ไซยาไนด์ (CN-) สารหนู (AS) แมงกานีส (Mn) ทองแดง (Cu) แคดเมียม (Cd) โครเมียม (Cr) สังกะสี (Zn) ตะกั่ว (Pb) และนิกเกิล (Ni) ซึ่งผลการตรวจสอบไม่พบค่าโลหะหนักที่เป็นสารพิษเกินค่ามาตรฐาน มีเพียงปัญหาความขุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่บริเวณปากกระ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำจากคลองยูงฝั่งเมียนมาร์ไหลมาบรรจบกับคลองกระนัยของประเทศไทย
นอกจากนี้ ได้เก็บตัวอย่างน้ำประปาจากถังกักเก็บน้ำประปาขององค์การบริหารส่วนตำบลปากจั่นก่อนสูบจ่ายให้กับประชาชน ซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำกระบุรีเป็นแหล่งน้ำดิบ มีการตรวจวัดพารามิเตอร์ภาคสนามและในห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะโลหะหนักได้ตรวจวัดหลายชนิดเช่นเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์น้ำประปา ไม่พบค่าโลหะหนักที่เป็นสารพิษเกินค่ามาตรฐาน
ทั้งนี้ คพ.ได้ประสานสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระนองและหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 ในการนำข้อมูลปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับเมียนมา และได้ขอความอนุเคราะห์กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการทางวิธีการทูตเพื่อประสานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเพื่อทราบและร่วมแก้ไขปัญหาน้ำขุ่นในแม่น้ำกระบุรี ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิตประชาชน และในปีงบประมาณ 2569 คพ.จะเพิ่มความถี่ในการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำของแม่น้ำกระบุรีเป็นทุกไตรมาส เพื่อเฝ้าระวังและติดตามปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ นายสุรินทร์ กล่าว