ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คุณภาพชีวิต ย้อนกลับ
วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ร่วม โครงการพี่เลี้ยงเครือข่าย พัฒนาศักยภาพครู–โรงเรียนขนาดเล็ก
20 ต.ค. 2568

วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ร่วม “โครงการพี่เลี้ยงเครือข่าย” พัฒนาศักยภาพครู–โรงเรียนขนาดเล็ก ยกระดับคุณภาพการศึกษา–การเรียนรู้ของเด็กไทย ด้วย AI และโมเดลพหุปัญญา ต่อยอด “สื่อทำมือ” สู่การเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน       

รศ.ดร.สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตบริหารการศึกษา วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในฐานะผู้ประสานงาน โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่น โดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยง เครือข่ายเพื่อการพัฒนาอุดมศึกษา เปิดเผยว่า วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน “สถาบันอุดมศึกษาเครือข่ายภาคกลางตอนบน” ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่น โดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 24 สถาบัน และมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิเป็นประธานเครือข่าย

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ “บริการวิชาการแก่สังคม” ของสถาบันอุดมศึกษาไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างคุณภาพการเรียนรู้ของโรงเรียนในพื้นที่ ผ่านการพัฒนาครู ผู้บริหารสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น ด้วยแนวคิด “สถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยง (Mentor University)” ที่ลงพื้นที่จริง ทำงานร่วมกับโรงเรียนและชุมชนอย่างต่อเนื่อง

ในปีงบประมาณ 2568   วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 โครงการย่อย โดยแต่ละโครงการมีอาจารย์ผู้รับผิดชอบและโรงเรียนเป้าหมายชัดเจน ดังนี้ โครงการที่ 1 นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมพร โกมารทัต และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นักรบ หมี้แสน (ขณะเริ่มโครงการยังดำรงตำแหน่งในคณะ) โรงเรียนเป้าหมาย: โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 55 (วัดโบสถ์ดอนพรหม) และโรงเรียนวัดสาลีโขภิตาราม (อุ่น-อนุสรณ์), โครงการที่ 2 นำโดยอาจารย์ ดร.พจมาลย์ สกลเกียรติ โรงเรียนเป้าหมาย: โรงเรียนวัดลำมหาเมฆ (ประชาราตรีอนุสรณ์)  และโรงเรียนวัดผึ่งแดด (บุญสืบวิชชนูปถัมภ์) และโครงการที่ 3 นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วิสฤตาภา และอาจารย์ ดร.สุดคนึง นฤพนธ์จิรกุล โรงเรียนเป้าหมาย:  โรงเรียนวัดธรรมจริยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโรงเรียนวัดราษฎร์บำรุง จังหวัดสระบุรี โดยทั้ง 3 โครงการมุ่งส่งเสริมให้โรงเรียนที่เข้าร่วมสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนอ่านออก เขียนได้และสอดคล้องกับยุคดิจิทัล การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน รวมทั้งตอบสนองความต้องการของโรงเรียนและบริบทท้องถิ่น โดยเน้นการพัฒนาทักษะครูและการสร้างผลลัพธ์เชิงคุณภาพต่อผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม

โครงการนี้ดำเนินงานภายใต้กรอบกิจกรรมหลักที่สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กำหนดไว้ 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 2. พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของผู้เรียน 3. พัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ 4.พัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เลือกดำเนินการตามกิจกรรมข้อ (2) และ (3) ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความต้องการของโรงเรียนในพื้นที่ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ และการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน

คณาจารย์จากวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับคณะครูในโรงเรียนเป้าหมาย โดยใช้เวลาระหว่าง 2–3 วันต่อโครงการ เนื้อหาครอบคลุม 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1. การสร้างสื่อโดยใชเทคโนโลยีประกอบการสอนแบบ “ทูอินวัน” (AI + สื่อทำมือ) มุ่งส่งเสริมให้ครูสามารถผลิตสื่อการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบดิจิทัลด้วย AI และ “สื่อทำมือ” ที่เน้นการลงมือสัมผัสสำหรับเด็กระดับอนุบาล–ประถม ซึ่งช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส สร้างปฏิสัมพันธ์ และเสริมทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งสื่อทำมือมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในระดับอนุบาลและประถมศึกษา เพราะเด็กต้องได้จับ ได้สัมผัส จึงจะเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ส่วน AI              ก็เป็นเครื่องมือช่วยเสริมให้ครูสร้างสื่อได้หลากหลาย ทันสมัย และช่วยดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้ดี  และ         2. เทคนิคการสอนและการออกแบบแผนการเรียนรู้เชิงพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ถ่ายทอดแนวคิดจากทฤษฎีของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ที่อธิบายถึงสติปัญญา 8 ด้านของมนุษย์ เช่น ด้านภาษา ตรรกะ มิติสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวร่างกาย ดนตรี ความเข้าใจตนเองและผู้อื่น รวมถึงความเข้าใจธรรมชาติ เพื่อให้ครูสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครอบคลุมการพัฒนาทักษะรอบด้านของผู้เรียน และ รศ.ดร.สิริพัชร์ กล่าว

อย่างไรก็ตามหลังการอบรม ครูแต่ละโรงเรียนจะนำแผนการสอนและสื่อที่ได้รับการพัฒนาไปใช้จริงในห้องเรียน ทีมคณาจารย์วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จะติดตามผลในภาคเรียนที่ 2/2568  โดยเน้นประเมิน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การนำเทคนิค วิธีการสอนและสื่อไปใช้ในชั้นเรียน , ผลการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ของนักเรียน , ความต้องการเพิ่มเติมจากทั้งครูและนักเรียนเพื่อใช้ต่อยอดในระยะยาว

นอกจากนี้คณาจารย์วิทยาลัยครุศาสตร์ ยังส่งเสริมให้ครูจัดทำ “วิจัยในชั้นเรียน” เพื่อเป็นผลงานทางวิชาการ และสร้างความต่อเนื่องในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยทีมวิจัยจาก DPU จะร่วมเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่คณะครูต่อไป

รศ.ดร.สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์  กล่าวต่ออีกว่า ในภาคเรียนถัดไป การที่วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีแผนลงพื้นที่ติดตามผลการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนเดิม และพัฒนาโครงการต่อเนื่องในปีงบประมาณใหม่ โดยเน้นการต่อยอดในประเด็นที่โรงเรียนต้องการเพิ่มเติม เช่น การบูรณาการ AI กับการเรียนรู้แบบพหุปัญญาให้มากขึ้น การพัฒนาสื่อสร้างสรรค์ใหม่ ๆ รวมถึงการขยายผลไปยังโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความต้องการเช่นเดียวกัน

“โครงการนี้เป็นพื้นที่ที่คณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ใช้ความรู้ความสามารถจริงในภาคสนาม เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา ถือเป็นการบูรณาการงานบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยกับการยกระดับคุณภาพการศึกษาในชุมชน เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาครู พัฒนาโรงเรียน และที่สำคัญคือการสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้เรียนรู้อย่างทั่วถึงให้มากที่สุด รศ.ดร.สิริพัชร์ กล่าวทิ้งท้าย

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16-31 ตุลาคม 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
15 ต.ค. 2568
กล่าวได้ว่าการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปโตย และก็กล่าวได้อีกเช่นกัน ว่า รัฐธรรมนูญ 2540 คือต้นธารที่ส่งผลให้การ กระจายอำนาจสู่ห้องถิ่นของประเทศไทยมีความ สำคัญมากขึ้นมาเป็นลำดับซึ่งแม้ในตลอด 20 กว่าปี ที่ผ่านม...