นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เผยหลังรับฟังการบรรยายสรุปแผนการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 2561/2562 ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่นว่า
จากแนวโน้มการคาดการณ์ฝนที่ลดลงดังกล่าว ศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้แจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในแผนการบริหารจัดการน้ำและการปฏิบัติการฝนหลวง ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักก่อนสิ้นสุดฤดูฝนตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ในกลางเดือนตุลาคมนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีความต้องการใช้น้ำในการทำการเพาะปลูกจำนวนมาก สทนช. จึงเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนปรับลดการระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำทุกขนาด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำต้นทุนน้อย เพื่อเร่งกักเก็บน้ำให้มีปริมาณน้ำใช้พอเพียงตลอดฤดูแล้งนี้ และมั่นใจว่า น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค เพื่อผลิตประปา เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเพื่อรักษาระบบนิเวศ มีเพียงพออย่างแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานทุกภาคส่วนถึงแผนปฏิบัติการเพื่อลดผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แล้งล่วงหน้าไว้แล้ว โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่มีการทำเกษตรมากที่สุดของประเทศ รวม 63.85 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ชลประทานเพียง 6.38 ล้านไร่ หรือ 10% ของพื้นที่การเกษตร ซึ่งเกษตรกรต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลักในการทำการเกษตร จึงทำให้ปริมาณของผลผลิตขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศเป็นหลัก สทนช. จึงหาแนวทางในการปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยได้ดำเนินโครงการศึกษาติดตามและประเมินผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีปัญหาการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากมีแหล่งเก็บน้ำรวม 12,440.17 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) หรือ 21.95% ของปริมาณน้ำท่า แต่มีความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันรวม 27,524.68 ล้าน ลบ.ม. หรือ 2.21 เท่าของปริมาณกักเก็บ ทั้งนี้ในอนาคตเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นและภาคอุตสาหกรรมขยายตัวมากขึ้นปัญหาความต้องการน้ำก็จะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะน้ำเพื่อการเกษตรยังขาดแคลนถึง 11,500 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ส่วนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคได้เกือบเต็ม 100% สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์น้ำและตัวชี้วัด SDGs ที่มุ่งเน้นให้ครัวเรือนมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและใช้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน
จากการติดตามสถานการณ์น้ำ พบว่า ในพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนบน บริเวณจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น และมหาสารคาม ปริมาณน้ำฝนที่ตกจากนี้ไปคงมีปริมาณไม่มากนัก ประกอบกับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางกว่า 35 แห่ง ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ในช่วงฤดูแล้งของปี 2561 ต่อเนื่อง 2562 สทนช. ได้ประสานบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของกรมชลประทานได้เร่งประสานหน่วยงานในพื้นที่เสี่ยงภัย ทั้งหน่วยงานด้านประมง ปศุสัตว์ เกษตร อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งภาคประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อกำหนดมาตรการในการบริหารจัดการน้ำในสภาวะภัยแล้งร่วมกัน ในส่วนของแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งรับผิดชอบเขื่อนใหญ่ ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะช่วงหลังจาก 15 ตุลาคม ไปแล้ว ปริมาณฝนจะลดน้อยลง จึงควรพิจารณาเก็บน้ำไว้ในเขื่อนให้มากที่สุดโดยลดการระบายน้ำลง ทั้งนี้ การดำเนินงานของทุกส่วนงานจะบูรณาการความร่วมมือบนพื้นฐานข้อมูลชุดเดียวกันเป็นหลัก
“การบริหารจัดการน้ำจะต้องวางแผนร่วมกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะมาตรการขอความร่วมมือในเรื่องของการนำน้ำไปใช้ เนื่องจากที่ผ่านมาในพื้นที่อาจจะได้รับการจัดสรรน้ำไม่เท่าเทียมกัน ในปีนี้อาจจะผ่านวิกฤติแล้งไปได้ แต่หากในอนาคตเราไม่มีความร่วมมือร่วมใจ ไม่สร้างระเบียบวินัยในการใช้น้ำร่วมกัน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาในการใช้น้ำได้ อีกทั้ง ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ผ่านวาระ 3 ของ สนช.ไปแล้ว นั่นหมายความว่า กฎหมายรองและกฎหมายลูกต่างๆ จะเข้ามาควบคุมการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน ในส่วนฤดูแล้วที่จะถึงนี้ เขื่อนอุบลรัตน์ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่จะต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำร่วมกัน โดยต้องปรับเกณฑ์ในการควบคุมน้ำช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง และจะต้องมีการเก็บกักน้ำในลำน้ำชีให้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง จะมีการพัฒนาแหล่งเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำชี โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในปี 62 มากกว่า 5 โครงการ และเป็นโครงการพระราชดำริอีกด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ที่มีทั้งโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัย” นายสมเกียรติ กล่าว