เครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุน เด็กเล็กสู่ถ้วนหน้า 109 องค์กรได้มีการจัดเวทีถกแถลงทางวิชาการ ร่วมกับนักวิชาการและตัวแทนนักการเมืองจากพรรคต่างๆ 10 พรรค เรื่อง “นโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็ก 0-6 ปี แบบถ้วนหน้า: จุดเริ่มต้นของสวัสดิการทั้งระบบ”
นางสาววิพัตรา โตเต็มโชคชัยการ ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการนโยบายพรรค ผู้ร่วมก่อตั้ง New Dem และนักวิเคราะห์นโยบาย สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (FIT) ได้กล่าวในเวทีถกแถลงดังกล่าวว่า “พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กปฐมวัยในทุกมิติ การจัดทำนโยบายเรื่องเด็กปฐมวัยของพรรคได้ผ่านการศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียด ผ่านการอ้างอิงผลงานวิจัยเชิงนโยบาย เรื่อง นโยบายการดูแลเด็กปฐมวัยในประเทศไทย ของ สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (FIT) โดยเน้นการพัฒนาทุกระบบ ตั้งแต่ เรื่องการดูแลความพร้อมของพ่อแม่ก่อนมีบุตร การดูแลทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โภชนาการ การดูแลครอบครัวและสิ่งแวดล้อม ความรู้พ่อแม่ในการเลี้ยงดูบุตร สวัสดิการรัฐ และเรื่องการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ
ในเรื่องเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตร พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าเห็นด้วยกับการเปลี่ยนระบบการให้เงินอุดหนุนเด็กจากแบบคัดกรอง (Screening) ในปัจจุบัน เป็นแบบถ้วนหน้า (Universal) เพราะจะช่วยลดการตกหล่นของเด็กที่ไม่ได้รับเงิน (Exclusion Error) และเพื่อเป็นการเคารพในสิทธิความเป็นมนุษย์ที่สมควรได้รับเงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้าเท่าเทียมกับผู้ได้รับเงินอุดหนุนในกลุ่มอื่น เช่น ผู้สูงอายุ หรือ คนพิการ เป็นต้น
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากเห็น ไม่ใช่แค่การให้เงินอุดหนุน 600 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่อายุ 0-6 ปี แบบถ้วนหน้า อย่างในปัจจุบันเท่านั้น แต่เราคิดว่าควรต้องมีการขยายอายุ จาก 0-6 ปี เป็น 0-8 ปี เพราะปัจจุบันได้มีการขยายอายุเด็กปฐมวัย ใน พรบ.เด็กปฐมวัย เป็น 0-8 ปี และเงินอุดหนุนที่ให้ ควรเพิ่มจาก 600 เป็น 1,000 เพราะจากการศึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายขั้นต่ำทางด้านอาหารของเด็กต่อเดือน สถาบันวิจัย TDRI ก็อยู่ที่ 780 บาทแล้ว แต่การเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการเด็กยังมีค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นอีกมาก มีหลายประเทศทั่วโลกที่ให้เงินอุดหนุนส่วนนี้มากกว่าประเทศไทย และบางประเทศก็มีการให้เงินในเด็กตั้งแต่อายุ 0-18 ปีด้วย”
นางสาววิพัตรา กล่าวต่อว่า “ภาพที่เราอยากเห็นในอนาคต คือ “เด็กเกิดใหม่ทุกคนได้รับ 100,000 บาท เป็นของขวัญวันเกิดจากรัฐบาล” โดยแบ่งจ่ายเป็น 1,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาตั้งแต่ช่วงแรกเกิด ถึง 8 ปี ซึ่งจะใช้งบประมาณไม่ถึงร้อยละ 3 ของงบประมาณประเทศต่อปีเท่านั้น
พรรคประชาธิปัตย์มองว่า การลงทุนเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นการลงทุนและพัฒนาในทุนมนุษย์ที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าการเพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตรนี้จะส่งผลทำให้ภาระของรัฐเพิ่มขึ้น แต่หากพิจารณาดูให้ดีแล้วจะพบว่าเงินที่รัฐจ่ายเพื่อเป็นเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตรนั้นไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองหรือสูญเปล่าแต่อย่างใด แต่หากเป็นการลงทุนเพื่อการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างคุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว ดังนั้นประเทศไทยจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องสร้างและพัฒนาบุคลากรในประเทศให้มีศักยภาพและมีความพร้อมต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ การเมืองที่มั่นคง และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศที่ยั่งยืน
และต้องขอยืนยันก่อนว่าการเสนอเรื่องการขยายอายุและการขยายวงเงิน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่เรามองเพื่อประโยชน์ของเด็กจริงๆ ที่จะช่วยประโยชน์ทางตรง ก็คือ 1. ลดความเหลื่อมล้ำ 2. เพิ่มคุณภาพชีวิตของเด็ก และทางอ้อม คือ การจูงใจให้คนอยากมีบุตรอย่างมีคุณภาพมากขึ้น การทำเช่นนี้ก็จะช่วยทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องของเด็กปฐมวัยจริงๆ
สรุปคือ พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยอย่างมาก และจะดำเนินนโยบายเพื่อเด็กปฐมวัยในทุกมิติจริงๆ โดยในเรื่องของเงินอุดหนุน เราอยากเห็นภาพของเรื่องการให้เงิน 100,000 บาท เป็นของขวัญวันเกิดแก่เด็กไทย โดยแบ่งจ่าย 1,000 ต่อเดือน ระยะเวลา 0-8 ปี อย่างถ้วนหน้า เพื่อการลงทุนและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเด็กไทยสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป