นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่นัดฟังคำสั่งอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 คดีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กรณีโพสเฟสบุ๊ค นิตยสาร Time และการดูด ส.ส. 4.0 วันนี้ เวลา 10.00 น.
นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความของนายพิชัยฯ พร้อมคณะทำงาน นายยอดชาย ศีลนำสุข ได้มาตามกำหนดนัด โดยได้เข้าพบนายพรชัย ชลวานิชกุล รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา หัวหน้าคณะทำงานเจ้าของสำนวน ได้แจ้งว่า
เนื่องจากตามหนังสือขอความเป็นธรรม นายพิชัยฯ ได้ขอให้ทำการสอบสวนพยานเพิ่มเติมจำนวน 7 คน ซึ่งอัยการให้พนักงานสอบสวนสอบพยานเพิ่มเติมเสร็จได้ 5 คนแล้ว เหลือพยานอีก 2 คน ยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ พนักงานอัยการจึงให้เลื่อนนัดฟังคำสั่ง ไปเป็นวันที่ 27 มิถุนายน 2562 เวลา 10.00 น.
ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 5 ปีของการปฏิวัติ อยากให้ รัฐบาลและ คสช. ได้พิจารณาตัวเอง มองย้อนกลับไปว่า 5 ปี ที่ผ่านมาได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศบ้างที่ไม่ใช่แค่วาทกรรม และประเทศเสียหายขนาดไหน หลัง 5 ปี เศรษฐกิจกลับมาโต 2.8% เท่ากับตอนปฏิวัติใหม่ๆในปี 2558 ทั้งๆที่รัฐบาลแจกเงินกันอย่างมโหฬารคล้ายเป็นการซื้อเสียงก่อนการเลือกตั้ง และ สภาพัฒน์ พยายามเต็มที่ที่จะทำให้ตัวเลขเพิ่มมากสุดแล้วยังได้แค่เท่านี้ ประเทศประสพปัญหาเพิ่มขึ้นทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม จนประเทศไทยกลายเป็นตัวตลกของประชาคมโลกไปแล้ว ประชาชนต้องอยู่กันอย่างหวาดกลัวเพราะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และ องค์กรอิสระไม่สามารถทำได้ แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว จึงอยากขอถามว่า การที่ รัฐบาล และ คสช ฟ้องตนนั้น เพราะตนวิพากษ์วิจารณ์การบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของรัฐบาลใช่หรือไม่ และขอถามว่าเศรษฐกิจแย่จริงตามที่ตนบอกใช่หรือไม่ ตัวเลขเศรษฐกิจคงไม่สามารถปฏิเสธได้ การใช้เรื่องต่างๆมาฟ้องตน เพื่อให้ตนหยุดวิจารณ์ใช่หรือไม่ โดยเฉพาะการฟ้องเรื่องหนังสือพิมพ์ไทม์ที่ไม่มีจำหน่าย ทั้งๆที่ไม่มีขายจริงในขณะนั้น ไม่ได้ทำให้คนตระหนกและแปลกใจ ไปกว่าการปิดทีวีหลายช่องและ หลายครั้ง เช่น Voice TV, TV 24, Peace TV เป็นต้น และ การปิดอีกหลายรายการทีวี ที่รัฐบาลและ คสช ให้ กสทช ทำอยู่ก่อนหน้านี้ และกระทั่งปัจจุบันก็ยังมีการควบคุมการเสนอข่าวของสื่อมวลชนอยู่ นอกจากนี้ การวิพากษ์วิจารณ์การดูด สส ก่อนเลือกตั้งด้วยวิธีต่างๆที่ประชาชนรู้กันทั่ว คงไม่เท่ากับปัจจุบันที่มีข่าวการซื้อ สส งูเห่า แพร่กระจายไปทุกสื่อ ซึ่งหากการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ยังเป็นอยู่ ก็ไม่แน่ใจว่าเลือกตั้งแล้วยังจะเป็นประชาธิปไตยไหม หรือต้องให้ สื่อต่างประเทศ และ ประเทศเพื่อนบ้าน วิจารณ์แทน เช่น มาเลเซียตำหนิว่าค่ารถไฟฟ้าในประเทศไทยแพงเกินไป เป็นต้น ดังนั้น จึงอยากขอเตือนรัฐบาลว่า การปิดกั้นแสดงความเห็นเป็นภัยกับระบอบประชาธิปไตย และเมื่อกลับสู่ระบอยประชาธิปไตยแล้ว ก็ควรต้องเลิกปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และควรนำทุกความคิดเห็นไปพิจารณาปรับปรุงเพื่อให้ประเทศพัฒนายิ่งขึ้นไป