สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ เผยโรคลมชักในเด็ก ปัจจุบันมีเด็กที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และเป็นโรคหนึ่งที่สร้างความทุกข์ให้ผู้ที่เป็นพ่อและแม่อย่างมากมาย แต่หากได้รับการตรวจรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม สามารถรักษาให้หายขาดได้นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก ทั่วโลกอุบัติการณ์ในเด็กประมาณ 41-187 ต่อแสนประชากร พบอุบัติการณ์สูงในขวบปีแรกความชุกของโรคลมชักรวมทุกอายุประมาณ 4-10 ต่อ 1000 ประชากร พบมากโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา สำหรับประเทศไทยประมาณการผู้ป่วยโรคลมชัก 500,000คนเป็นผู้ป่วยเด็กประมาณ 1 ใน 3โรคลมชักเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่มากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแสดงเป็นอาการชักหลายรูปแบบ สาเหตุของโรคลมชักในเด็ก เกิดได้จากหลายสาเหตุและมีความแตกต่างในแต่ละกลุ่มอายุ เช่น พันธุกรรม สมองได้รับบาดเจ็บจากการขาดออกซิเจน เลือดออกในสมอง การติดเชื้อที่ระบบประสาท หรือ โครงสร้างเซลล์สมองที่ผิดปกติ เป็นต้น ความสำคัญของโรคลมชักคือ เป็นโรคที่มีผลกระทบรุนแรงด้านร่างกาย จิตใจ สังคม ต่อผู้ป่วยและพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กที่มีอาการชักบ่อยอาจมีภาวะทางสติปัญญา พัฒนาการ หรือพฤติกรรมผิดปกติร่วมด้วยการรักษาโรคลมชักที่ถูกต้องเหมาะสมนอกจากทำให้เด็กหยุดชักแล้ว ยังทำให้สติปัญญาพัฒนาการ หรือ พฤติกรรมกลับมาดีขึ้นได้ด้วย ในด้านสังคม ครอบครัวมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่สามารถเรียนหนังสือ และโตขึ้นใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติผู้ป่วยโรคลมชักในเด็กประมาณร้อยละ 30ของโรคลมชักเป็นกลุ่มรักษายาก สามารถปรึกษากุมารแพทย์ระบบประสาทเพื่อการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และการรักษาที่ซับซ้อน เช่น การผ่าตัดโรคลมชัก การใช้ยากันชักใหม่ๆ อาหารคีโตน เป็นต้น
แพทย์หญิงไพรัตน์ แสงดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการชักในเด็กมีรูปแบบที่เฉพาะและแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่น อาการชักผวาเป็นชุดในทารก อาการชักผงกหัวตัวอ่อน อาการชักเหม่อสั้นๆในเด็ก เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นอาการชักที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จัก ไม่ทราบว่าเป็นโรคลมชักจึงไม่ได้พาไปปรึกษาแพทย์ ทำให้การรักษาล่าช้า ทำให้เด็กที่มีอาการชักดังกล่าวอาจมีพัฒนาการช้า หรือ พัฒนาการถดถอยได้ การรักษาเร็วจะช่วยให้มีโอกาสหายและพัฒนาการดีขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยเด็กก็อาจมีอาการชักแบบอื่นที่เหมือนกับผู้ใหญ่ เช่น ชักเกร็งกระตุกตาค้างที่เรียกว่าลมบ้าหมู ชักแบบมีพฤติกรรมแปลกๆ เป็นต้น การตรวจวินิจฉัยโรคลมชักที่สำคัญ คือ ประวัติรายละเอียดอาการชักที่พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กแจ้งกับแพทย์ ร่วมกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ดังนั้นหากพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตเห็นบุตรหลานมีอาการชัก หรือ สงสัยพฤติกรรมที่ดูแปลกไปกว่าปกติที่เกิดซ้ำๆ ควรสอบถามรายละเอียดอาการจากผู้เห็นเหตุการณ์ หรือ ถ่ายคลิปวีดีโอขณะเด็กเกิดอาการ และพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อเด็กเกิดอาการชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว คือ 1.ผู้ปกครองต้องตั้งสติให้ดี 2. จัดท่าเด็กให้นอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก และถ้าเห็นเศษอาหารให้กวาดออกมาจากปากได้ 3.ห้ามเอาอุปกรณ์ใดๆ รวมทั้งมือเข้าไปง้างปากผู้ป่วย สิ่งนี้เป็นความเข้าใจผิดของคนทั่วไปว่ากลัวผู้ป่วยกัดลิ้นจึงงัดปาก ในความเป็นจริงแล้วการงัดหรือง้างปากเด็กอาจทำให้ฟันหักและตกลงไปอุดหลอดลม หายใจไม่ได้และเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจได้ ในขณะที่เด็กกัดลิ้นแต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตและรักษาได้ โดยทั่วไป อาการชักมักจะหยุดได้ภายใน 2-3 นาที ยกเว้นบางรายที่รุนแรงมากเกิน 5 นาที และหลังจากหยุดชักแล้วให้รีบพาผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ผู้ป่วยที่มีอาการชัก มีสโลแกนว่า “ไม่งัด ไม่ง้าง ไม่ถ่าง ไม่กด ไม่ทั้งหมด ชักหยุดได้เอง”