นายจิรุตม์ วิศาลจิตร รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายหลังจากการหารือร่วมกับเอกอัครราชฑูตไทยประจำประเทศมาเลเซีย เรื่องเทคโนโลยีการขนส่งและระบบรางร่วมกันนั้น ขณะนี้รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศอยู่ระหว่างหาแนวทางเชื่อมโยงระบบบัตรโดยสารร่วมในรูปแบบ E-Ticket เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเดินทางของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ดังนั้น ในอนาคตระบบขนส่งมวลชนของทั้ง 2 ประเทศ จะสามารถใช้บัตรใบเดียวในการเดินทาง โดยจะเริ่มจากเส้นทางเชื่อมปาดังเบซาร์-หาดใหญ่
โดยบัตรดังกล่าวจะสามารถชำระค่ารถไฟจากฝั่งมาเลเซีย และสามารถชำระค่ารถโดยสารจากปาดังเบซาร์เข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่ ส่งเสริมการเดินทางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Transport) หลังจากนี้จะส่งผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไปประชุมหารือเรื่องนี้ในเดือน ส.ค. ที่ประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้ ยังจะมีการหารือเพื่อเปิดเดินรถไฟระหว่างประเทศให้สามารถวิ่งถึงกันได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วงปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวิร์ธ-รัฐปีนัง โดยปัจจุบันยืนยันว่า ระบบรวบรวมรายได้นั้นพัฒนาไปมากแล้ว สามารถตัดยอดได้ภายในวันเดียวโดยไม่ติดขัดเรื่องของอัตราค่าเงินแลกเปลี่ยนแบบเมื่อก่อน ดังนั้นจึงต้องการนำแผนเชื่อมรถไฟระหว่างกันทำให้เกิดขึ้นได้จริงอีกครั้ง
นายจิรุตม์ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการขนส่งทางอากาศนั้น สนามบินเบตง จะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2563 ได้หารือกับฝ่ายมาเลเซียเรื่องการขอใช้น่านฟ้าในอนาคต เนื่องจากรัฐบาลไทยมีแผนขยายสนามบินเบตงหลังการเปิดใช้เพื่อให้เครื่องบินขนาดใหญ่สามารถลงจอดได้ ดังนั้นจึงต้องทำเรื่องขอใช้น่านฟ้าสำหรับเครื่องบินขนาดใหญ่ แต่ในช่วงเปิดสนามบินเบื้องต้นนั้นเครื่องบินขนาดเล็กสามารถบินได้ในน่านฟ้าไทยตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ยังได้หารือกันถึงข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดน เป็นการเปิดเสรีเดินรถขนส่งสินค้าและขนส่งผู้โดยสารระหว่างกันเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนโลจิสติกส์ โดยอนุญาตให้แลกเปลี่ยนสิทธิจราจรในประเภทรถบรรทุกก่อนเพื่อขนส่งสินค้าข้ามแดนจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งได้ หรือข้ามไปประเทศที่ 3 โดยใช้เอกสาร เอกสารนำเข้าชั่วคราวสำหรับตู้คอนเทนเนอร์และรถบรรทุก เบื้องต้นเตรียมลงนาม MOU ร่วมกันโดยมอบโควตาให้ประเทศละ 100-200 คัน ขณะนี้ฝ่ายไทยได้เห็นชอบหลักการร่าง MOU แล้ว รอแต่เพียงฝั่งมาเลเซียศึกษารายละเอียดคากว่าจะมีความชัดเจนในเร็ววันนี้