นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางอัยการได้มีการตรวจสอบพบหลักฐานใหม่ที่เห็นว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สามารถนำมาต่อสู้คดี จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ รฟท.จ่ายค่าชดเชยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด จากการบอกเลิกสัญญาโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับรวมเป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับตั้งแต่คดีสิ้นสุด
โดยความคืบหน้าล่าสุดพบว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีต รมว.คมนาคม ได้ลงนามมอบอำนาจให้สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการยื่นหลักฐานใหม่ในคดีค่าโง่โฮปเวลล์เพื่อขอให้ศาลปกครองสูงสุดรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ เนื่องจากอัยการตรวจสอบพบว่ามีหลักฐานใหม่ที่ รฟท.สามารถนำมาใช้ต่อสู้คดีกับโฮปเวลล์ได้
“กรณีนี้อัยการมีความเห็นมาที่กระทรวงคมนาคมว่า ยังมีข้อมูลใหม่ที่ รฟท.สามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ ซึ่งในความเห็นส่วนตัวมองว่า ถ้ามีข้อมูลใหม่ เราก็ควรต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด ซึ่งขณะนี้ทราบว่าอัยการได้ยื่นหลักฐานใหม่ให้ศาลไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตามขั้นตอนศาลจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 30 วัน จึงจะให้คำตอบว่าจะรับพิจารณาหรือไม่รับพิจารณา หากศาลรับพิจารณา ก็จะมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ แต่หากศาลไม่รับพิจารณาตามข้อเสนออัยการจะถือว่าคดีสิ้นสุด ซึ่ง รฟท.ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โฮปเวลล์ต่อไป
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ทางสำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะทนายของภาครัฐ ได้มีหนังสือมาถึงกระทรวงคมนาคม ซึ่งขณะนั้นนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ยังดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคมอยู่ โดยระบุว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีหลักฐานใหม่และพร้อมชี้แจงประเด็นอื่นในคดีนี้เพิ่มเติม จึงจะส่งหลักฐานไปให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาและทบทวนคำตัดสินในคดีนี้อีกครั้ง ซึ่งทางรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมก็ไม่ขัดข้อง โดยนายอาคมได้ลงนามในหนังสือยืนยันกลับไปทางสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ต่อสู้คดีจนถึงที่สุด โดยถ้าหากศาลปกครองสูงสุดรับพิจารณา หลักฐานใหม่ตามที่เสนอ ก็คาดว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะขอขยายระยะเวลาการชำระค่าชดเชยมูลค่า 12,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยออกไปจากกำหนดเดิม ซึ่งระบุให้ชำระภายใน 180 วัน