นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุกรมฯ ได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจติดตามสถานการณ์แล้งฝนทิ้งช่วง ปี 2562 หรือ War Room เพื่อสำรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้งทุกจังหวัด และจัดทำสถานการณ์พื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่เสียหาย ผ่านระบบสารสนเทศการผลิตทางด้านการเกษตรของกรมฯ พร้อมทั้งให้ War Room จังหวัดรายงานสถานการณ์เข้ามาทุกวันอังคารของสัปดาห์นั้น จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ได้สรุปสถานการณ์พืชเศรษฐกิจหลักสำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย พบว่า มีพื้นที่ปลูกหรือคาดว่าจะปลูกทั้งหมด จำนวน 86,552,108 ไร่ โดยเป็นพื้นที่เพาะปลูกแล้ว 72,750,126 ไร่ คิดเป็น 84% พื้นที่ยังไม่เพาะปลูก 13,801,983 ไร่ หรือ 16%
สำหรับพื้นที่เพาะปลูกแล้วเสียหายสิ้นเชิง เบื้องต้นพบว่ามีจำนวน 229,648 ไร่ หรือ 0.31% แยกเป็น ข้าว 156,881 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 62,817 ไร่ มันสำปะหลัง 8,621 ไร่ และอ้อยโรงงาน 1,329 ไร่ ขณะนี้มีจังหวัดที่รายงานพื้นที่การเกษตรเสียหายเบื้องต้น และผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว 3 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ สุพรรณบุรี และชัยภูมิ
การดำเนินงานของกรมฯ ระยะเร่งด่วน ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการเกษตรให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ ผ่านกลไกของคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาภาคเกษตรระดับจังหวัด และคณะทำงานปฏิบัติการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาภาคเกษตรระดับอำเภอ การวางแผนช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ได้แก่ เตรียมการวางแผนระบบการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาวะที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ แนะนำวิธีการดูแลรักษาพืชในภาวะแห้งแล้งฝนทิ้งช่วง ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อยทดแทนการเพาะปลูกข้าวในช่วงเดือนสิงหาคม กันยายน 2562
ส่วนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากแล้งหรือฝนทิ้งช่วงในปีนี้ ยังยึดหลักเกณฑ์ช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง และการประกันภัยพืชผลสำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ซึ่งได้ซื้อประกันภัยไว้แล้ว การสนับสนุนโครงการเสริมสร้างอาชีพแก่เกษตรกรซึ่งจะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การปลูกพืชอายุสั้น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การผลิตสารชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช การเลี้ยงสัตว์
สำหรับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แล้งและฝนทิ้งช่วงต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมฯ ก่อนเกิดภัย และจะช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่เสียหายจริง ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ โดยมีอัตราการให้ความช่วยเหลือ คือ ข้าว 1,113 บาท/ไร่ พืชไร่ 1,148 บาท/ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 1,690 บาท/ไร่ ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่เข้าร่วมโครงการประกันภัยกับ ธ.ก.ส. เมื่อเกิดความเสียหายและได้รับการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ เกษตรกรจะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนี้ ประกันภัยข้าวนาปี เบี้ยประกัน 85 บาท/ไร่ ได้รับค่าสินไหมทดแทน 1,260 บาท/ไร่ ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เบี้ยประกัน 59 บาท/ไร่ ได้รับสินไหมทดแทน 1,500 บาท/ไร่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีฝนตกลงมาในหลายพื้นที่ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเข้าสู่ช่วงเดือนสิงหาคมแล้ว คาดว่า ปัญหาจากสถานการณ์แล้งหรือฝนทิ้งช่วงที่เกิดขึ้นจะบรรเทาลงและดีขึ้นในไม่ช้านี้