พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีบรรจุประจำการเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๘ ข/ค หรือเครื่องบินแบบ F-5TH และอากาศยานไร้คนขับแบบ RTAF U1 (อาร์-ที-เอ-เอฟ-ยู-วัน) ณ ท่าอากาศยานทหาร ๒ กองบิน ๖ ดอนเมือง
กองทัพอากาศมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นกองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาค ด้วยการพัฒนาขีดความสามารถทั้ง ๓ มิติ ได้แก่ มิติทางอากาศ มิติไซเบอร์ และมิติอวกาศ โดยเน้นวางรากฐานการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับสรรพกำลังของชาติทุกภาคส่วน ในการพัฒนากำลังของกองทัพอากาศ และการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซึ่งจะทำให้กองทัพอากาศสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน กองทัพอากาศตระหนักถึงการใช้ขีดความสามารถในการป้องกันประเทศอย่างมีประสิทธิภาพตามโครงสร้างกำลังรบ ภายใต้กรอบงบประมาณของกองทัพอากาศที่มีอยู่อย่างจำกัด
ซึ่งกองทัพอากาศ ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอากาศยาน และเพิ่มขีดความสามารถของเครื่องบินแบบ F-5TH จำนวนทั้งสิ้น ๑๔ เครื่อง โดยปรับปรุงติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบ Avionics ที่ทันสมัย ระบบป้องกันตนเอง ระบบเรดาร์ใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับเป้าหมาย รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการใช้อาวุธสมัยใหม่ที่มีความแม่นยำสูงและระยะยิงไกล อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Operation) ระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactical Data Link) เพื่อรองรับการใช้งานระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Link-T) เทียบเท่าเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐/ก หรือ เครื่องบินแบบ GRIPEN 39 C/D ในยุค ๔.๕
นอกจากนี้กองทัพอากาศ ยังได้ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศในการสนับสนุน และร่วมมือกันผลิต อากาศยานไร้คนขับแบบ RTAF U1 จำนวน ๑๗ เครื่อง ซึ่งได้รับการออกแบบและผลิตตามมาตรฐาน รวมถึงข้อกำหนดความสมควรเดินอากาศสากล โดยสามารถปฏิบัติภารกิจได้ต่อเนื่อง ๘ ชั่วโมง ในรัศมีปฏิบัติการ ๑๐๐ กิโลเมตร และสามารถวิ่งขึ้นและร่อนลงสนามบินด้วยระบบอัตโนมัติ มีสมรรถนะ และขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางทหาร และการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม
โดยพิธีบรรจุอากาศยานทั้ง ๒ แบบ เข้าประจำการในวันนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์ก้าวสำคัญของกองทัพอากาศ ในการดำเนินการตามแนวทางการพึ่งพาตนเอง การระดมสรรพกำลังความร่วมมือของชาติ
ทุกภาคส่วน และการใช้บุคลากรของกองทัพอากาศในการดำเนินการเป็นส่วนใหญ่ ทำให้บุคลากรดังกล่าวสามารถเข้าถึงและได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยตรง ซึ่งทำให้สามารถนำวิทยาการดังกล่าวมาประยุกต์ พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยีกำลังทางอากาศ ทำให้กองทัพอากาศมีขีดความสามารถสูงขึ้นในการป้องกันประเทศ และสามารถเผชิญภัยคุกคามได้ในทุกรูปแบบ เพื่อเป็นกองทัพอากาศที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างชาญฉลาดและมีความยั่งยืน รวมถึงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดในการจัดหา พร้อมการพัฒนาให้กับประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนกองทัพอากาศให้ก้าวสู่กองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาค “One of the Best Air Forces in ASEAN” และการพัฒนากองทัพอากาศภายใต้การพึ่งพาตนเองได้ในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม
-----------------------------------------------------