นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า สับปะรดเป็นผลไม้ที่สร้างมูลค่าการส่งออกให้กับประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งการวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นไปในด้านการเขตกรรมและการอารักขาพืช ส่วนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์หรือสายพันธุ์ยังไม่สามารถสร้างพันธุ์หรือสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้ ทำให้พันธุ์ที่ปลูกยังคงเป็นพันธุ์เดิม ปริมาณผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.11 ตัน/ไร่ ซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ รวมทั้งการใช้พันธุ์เดิมปลูกติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้เกิดการกลายลักษณะไม่พึงประสงค์มากขึ้น เช่น การเกิดหนามตลอดทั้งใบ ผลไม่เป็นทรงกระบอก สีเนื้อไม่สม่ำเสมอ ผลขนาดเล็กลง และอ่อนแอต่อโรคเหี่ยวสับปะรด
การคัดเลือกสายต้นเป็นแนวทางการปรับปรุงพันธุ์วิธีการหนึ่งที่ใช้ระยะเวลาสั้น ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี กรมวิชาการเกษตร จึงได้ดำเนินการคัดเลือกสายต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตไม่น้อยกว่าพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า และมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการแปรรูปตรงตามความต้องการของโรงงาน ได้แก่ ผลมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ตาตื้น แกนผลเล็ก เพื่อให้ได้ปริมาณเนื้อสำหรับแปรรูปสูง และมีอัตราการสูญเสียเนื้อต่ำ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ได้เริ่มดำเนินการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์เมื่อปี 2534 โดยการประเมินและคัดเลือกพันธุ์ การเปรียบเทียบพันธุ์ และการทดสอบพันธุ์ในแหล่งผลิต ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ จนประสบความสำเร็จได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ผ่านการพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี 2562 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า "สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2" โดยมีลักษณะเด่น คือ มีอัตราส่วนน้ำหนักเนื้อ : น้ำหนักผลเฉลี่ย 0.29 ซึ่งสูงกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย แกนผลเล็ก ตาตื้น ความลึกตาเฉลี่ย 0.73 – 0.81 ซม. มีผลทรงกระบอกซึ่งเหมาะสำหรับการบรรจุกระป๋อง ค่าความหวานเฉลี่ย 13.9 – 17.9 องศา บริกซ์ซึ่งมากกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย
"สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2 มีผลทรงกระบอกเหมาะสำหรับการบรรจุกระป๋อง มีความหวานมากกว่าพันธุ์ปัตตาเวียที่เกษตรกรนิยมปลูกในปัจจุบัน ที่สำคัญมีตาตื้นเมื่อเข้าเครื่องปอกแล้วจึงไม่สูญเสียเนื้อมาก จึงเหมาะสำหรับการนำไปแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวเป็นที่ต้องการของโรงงานอุตสาหกรรม ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี มีหน่อพันธุ์ประมาณ 5,000 หน่อ ซึ่งสามารถปลูกขยายได้พื้นที่ 0.5 ไร่ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี โทรศัพท์ 0-3277-2852-3" อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว