นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสถาบันพระปกเกล้า
ทั้งนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในสภาวะปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเมือง การที่มีสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) ขึ้นมาเพื่อปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ข้าราชการที่ทำหน้าที่ไม่ได้มีเพียงในพื้นที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ยังมีลงไปในส่วนจังหวัดและอำเภอด้วย โดยกระทรวงมหาดไทยในฐานะที่เป็นตันสังกัดของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ จึงกำหนดนโยบายและแนวทางต่างจากกระทรวงอื่น ซึ่งผู้ว่าราชการจัดหวัดต้องรู้งานในหน้าที่ของตนเองและงานของผู้อื่นเพื่อบูรณาการงานในพื้นที่ ต้องร่วมมือกับข้าราชการอีกกว่า 20 กระทรวงเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่
“ แผนพัฒนาจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดจึงมีความสำคัญในการที่จะทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถกำหนดการทำงานในแต่ละพื้นที่ร่วมกับส่วนอื่นๆได้ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอต้องยึดความต้องการในพื้นที่เป็นหลักแล้วนำมายึดโยงกับนโยบายโดยแต่ละจังหวัดต้องมีแผนพัฒนาจังหวัดที่ชัดเจน ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว
ขณะที่พล.ต.ต.ยงยุทธ สาระสมบัติ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะแผนยุทธศาสตร์ชาติเปรียบเสมือนหางเสือของเครื่องบิน ช่วยกำกับการทำงานของรัฐ ส่วนแผนการพัฒนาจังหวัดและการบริหารราชการแผ่นดินต้องมีความเชื่อมโยงกัน
“ ที่ผ่านมาแผนพัฒนาและแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละหน่วยงานขาดการบูรณาการกัน ส่วนการกำหนดอนาคตประเทศ พบว่านักการเมือง ภาครัฐ ภาคเอกชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมน้อย ขณะที่การปฏิรูปประเทศ ต้องการปฏิรูปแบบครบวงจร และต้องมียุทธศาสตร์ชาติโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องขอบคุณกมธ.บริหาราชการแผ่นดินที่ผลักดันให้แผนยุทธศาสตร์ชาติบรรจุอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ ” พล.ต.ต.ยงยุทธ กล่าว