การใช้พระราชกำหนดโอนงบประมาณรายจ่ายมาใช้ในการป้องกันรักษา “โควิด 19” ก่อนที่จะตราพระราชกำหนดกู้เงิน ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 35 ห้ามโอนงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณหนึ่ง จะโอนหรือนำไปใช้สำหรับหน่วยรับงบประมาณอื่นมิได้ เว้นแต่จะมีพระราชบัญญัติให้โอนหรือนำไปใช้ได้
ขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่มีข้อเสนอจากหลายฝ่ายให้ตัดลดงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของกระทรวงกลาโหม ตั้งไว้เป็นจำนวน 124,400,250,000 บาท จำแนกได้ ดังนี้
กองทัพบก52,103,193,700บาท
กองทัพเรือ 25,065,956,200 บาท
กองทัพอากาศ 29,326,466,300 บาท
กองบัญชาการกองทัพไทย 30,781,960,800 บาท
โดยนำรายการที่ยังไม่ความจำเป็นรีบด่วนในการจ่ายหรือก่อหนี้ผูกพัน เช่นการซื้อเรือดำน้ำ โดยโอนไปให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการป้องกันรักษาโรค “โควิด 19” ได้แก่กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในกำกับ ที่ในปีงบประมาณ 2563นี้ได้รับเพียง 26,730,737,500 บาท น้อยกว่าหลายเหล่าทัพในกระทรวงกลาโหมเพียงมากกว่ากองทัพเรือเล็กน้อย
ตามวินัยการคลังที่ได้เคยปฎิบัติมาจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรา 35 (1) มาเพิ่มให้กระทรวงสาธารณะสุขและหน่วยงานอื่นๆที่มีหน้าป้องกันรักษาโรคระบาด “โควิด 19” เช่นโรงพยาบาลและคณะแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพราะตามมาตรา 35 (1) กฎหมายใช้คำว่า “มีพระราชบัญญัติให้โอน....” แต่ในกรณีที่เกิดวิกฤต “โควิด 19”ที่มีความจำเป็นรีบด่วนขณะนี้จะตราเป็นพระราชกำหนดโอนงบประมาณได้หรือไม่ ?
เพราะการตราเป็นพระราชกำหนดจะเป็นการหลักเลี่ยงไม่อยู่ในข่ายบทบังคับตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องใช้เช่นเดียวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม คือต้องตราเป็นพระราชบัญญัติผ่านการพิจารณาวิเคราะห์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ มีหลักเกณฑ์หลักเกณฑ์การแปรญัตติที่กำหนดไว้กรณีใดทำได้และไม่ได้ และในกรณีที่มีการฝ่าฝืนจะมีความผิดตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ เช่นเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ชดใช้เงินจำนวนที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อตัวงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ได้ตราเป็นพระราชบัญญัติแล้วและการใช้งบประมาณรายจ่ายมีลักษณะเป็นพลวัตรตามความจำเป็น จะเห็นได้ว่าการโอนงบประมาณอาจเกิดขึ้นได้อีกหลายกรณีโดยไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ เช่นมีพระราชกฤษฎีรวมหรือโอนส่วนราชการเข้าด้วยกันตาม มาตรา 35 (2) การโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการตาม (3) การโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรตาม (4) อาจทำได้ตามระเบียบที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังมีการโอนงบประมาณที่กำหนดไว้ในแผนงานหรือในรายการใดของหน่วยรับงบประมาณให้เป็นอำนาจของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 36 ของกฎหมายวิธีการงบประมาณ ทั้งๆที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติงบประมาณที่โดยหลักการจะต้องผ่านการพิจารณาแก้ไขเพิ่มของสภานิติบัญญัติ แต่มาตรานี้ก็ได้บัญญัติมาตั้งแต่ใช้กฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 อ้างความคล่องตัวและการเป็นพลวัตรของการบริหารงบประมาณที่มีความเป็นพิเศษให้โอนได้เพียงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณอนุญาตให้โอน
พิจาณาโดยนัยนี้ผู้เขียนจึงเห็นว่า คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญตราพระราชกำหนดการโอนงบประมาณปี 2563 เพื่อนำมาใช้ในกรณีจำเป็นรีบด่วนที่เกิดจากโรคระบาด “โควิด 19” อาจทำได้ด้วยเหตุผลพิเศษ ดังกล่าว แต่ไม่อาจนำมาใช้กับการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่จะต้องทำเป็นพระราชบัญญัติเพราะรัฐธรรมนูญบังคับไว้
แต่ที่คณะรัฐมนตรีไม่รีบตราพระราชกำหนดโอนงบประมาณรายจ่ายคงไม่ใช่เหตุเพราะกลัวจะผิดรัฐธรรมนูญ
แต่ที่กลัวเพราะจะต้องไปกระทบงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมในเรื่องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร เช่นกรณีเรือดำน้ำมากกว่า
Cr. ปรีชา สุวรรณทัต ศาสตราจารย์พิเศษ
Cr.https://www.isranews.org/article/isranews-article/86999-money-2.html