ศาสตราจารย์ ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ (ตรงกลาง) ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์ เป็นตัวแทนในการรับมอบเงินสนับสนุน
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบพลังให้ประเทศไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้วยการส่งต่อความช่วยเหลือไปยังสถาบันและบุคลากรทางการแพทย์ โดยสนับสนุนเงินจำนวน 10.5 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ หนึ่งในโรงพยาบาลศูนย์กลางการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่สำคัญของประเทศ เพื่อสนับสนุนการสร้างและปรับปรุงห้องความดันลบ (Negative Pressure) สำหรับใช้เป็นห้องพักแบบแยกเดี่ยวของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส จำนวน 5 ห้อง มูลค่า 5,000,000 บาท และจัดหาเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 10 ชุด มูลค่า 5,500,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูฯ ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ทำให้เรามองเห็นว่าสถาบันและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งรวมไปถึงโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่ปัจจุบันต้องรับมือกับสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก โดยเฉพาะอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ต้องจัดเตรียมให้เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น บ้านปูฯ จึงพยายามหาหนทางในการมีส่วนช่วยสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ให้เข้าถึงอุปกรณ์เหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที และจะยังคงให้การสนับสนุนต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็ว”
ศาสตราจารย์ ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า “ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ขอขอบคุณบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ที่ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนทุนในการสร้างและปรับปรุงห้องความดันลบ พร้อมทั้งจัดหาเครื่องช่วยหายใจเพื่อการดูแลผู้ป่วย
โควิด-19 ในวันนี้ เนื่องจากห้องความดันลบมีประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโคโรนาไวรัสที่มีการแพร่เชื้อและป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากการติดเชื้อจากผู้ป่วย ส่วนเครื่องช่วยหายใจก็มีความจำเป็นสำหรับการใช้ในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะล้มเหลวจากการหายใจที่เกิดจากปอดอักเสบ ทั้งนี้ ความช่วยเหลือที่เราได้รับในวันนี้จะทำให้ทางโรงพยาบาลมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับวิกฤตด้านสาธารณสุขที่เกิดขึ้นในประเทศไทย”