นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล" ผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯหรือ ขสมก.เปิดเผยว่า ภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือ ศบค.มีมติปลดล็อคให้ห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมเป็นต้นไป พร้อมปรับเวลาช่วงเวลาเคอร์ฟิว จาก 22.00- 04.00 น. เป็นเวลา 23.00-04.00 น.นั้น การบริหารจัดการรถเมล์โดยสาร ขสมก.ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางตามมติดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น โดยกรณีของการเปิดห้างสรรพสินค้านั้น ขสมก.ประเมินว่าจะทำให้มีผู้โดยสารเดินทางด้วยระบบรถเมล์เพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนคน จากตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ใช้บริการรถเมล์โดยสารจำนวน 517,000 คนต่อวัน และ ขสมก.เดินรถบริการอยู่ที่จำนวน 25,000 เที่ยวต่อวัน

ทั้งนี้เมื่อมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 1 แสนคน ขสมก.ต้องมีการเดินรถเพิ่มอีกวันละ 3,000 เที่ยวต่อวัน โดยเป็นการใช้รถเมล์โดยสารให้บริการในจำนวนกว่า90%ของรถโดยสารที่ขสมก.มี 3,000 คัน ด้วยแนวทางนี้ เชื่อมั่นว่าจะเพียงพอต่อการให้บริการ เนื่องจากปกติหากไม่มีสถานการณ์ COVID-19 ขสมก.จะมีผู้ใช้บริการเกือบวันละ 1 ล้านคน และในปัจจุบัน ที่ยังจำเป็นต้องมีการใช้มาตรการ Social Distancing อยู่ หากมีผู้โดยสารใช้บริการรถเมล์ประมาณวันละ 6 แสนคนก็ยังสามารถรับมือได้

ส่วนกรณีเปิดห้างในวันที่ 17 พ.ค.63 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ตัวเลขคนเดินทางที่ไป-กลับห้างสรรพสินค้า ก็จะเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง แต่คนเดินทางเพื่อไป-กลับ ที่ทำงานมีน้อย ดังนั้นจะต้องติดตามตัวเลขที่แท้จริงของคนเดินทางในวันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของพนักงานห้างและคนทำงานปกติที่มาใช้บริการรถเมล์โดยสารว่าเพิ่มขึ้นตามที่ ขสมก.ประเมินไว้หรือไม่

ขณะที่ประเด็นเรื่องการขยับเวลาเคอร์ฟิวจาก 22.00 น.เป็น 23.00 น.นั้น ในส่วนนี้ ขสมก.จะขยับเวลาการให้บริการ จากที่รถคันสุดท้ายเจาะต้องเข้าถึงอู่ในเวลา 20.00 น.เป็นเข้าอู่ในเวลา 21.00 น. โดยเผื่อเวลาให้ผู้โดยสารและพนักงานที่ปฏิบัติงานขับรถและอื่นๆเดินทางกลับเคหสถานประมาณ 2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ขสมก.ขอย้ำว่าในการเดินทางขอให้ประชาชน-ผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งอาจต้องรอรถนานกว่าปกติ