โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
“เดลต้า”ฝ่ากำแพงจีน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา มหาอำนาจสหรัฐอเมริกาได้จัดงานฉลอง “วันชาติ” อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เปิดประตูทำเนียบขาวออกมากล่าวกับชาวอเมริกันทั้งประเทศ มีประโยคหนึ่งที่เขียนบทมาว่า “เมื่อ 245 ปีที่แล้ว เราได้ประกาศตัวเป็นอิสระออกห่างจากกษัตริย์โพ้นทะเล มาวันนี้เราใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม เพื่อที่จะประกาศว่า เราจะเป็นอิสระจากไวรัสมรณะ”
ในวันนั้น มีชาวอเมริกันที่รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งโดส 67% และชาวอเมริกัน 157 ล้านคน ที่ได้รับวัคซีนแล้วครบโดส
แต่ความเป็นประชาธิปไตยประกอบกับความรู้มาก จึงยังมีชาวอเมริกันเกือบ 90 ล้านคน เลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีน เพราะไม่เชื่อในประสิทธิภาพของวัคซีน และมองว่า วัคซีนมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าเชื้อไวรัส
ผ่านไป 1 เดือน เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐฯเพิ่มกว่า 1 แสนรายต่อวัน มีผลให้ชาวอเมริกันเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวนมาก และผู้เสียชีวิตกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้งวันละหลายร้อยคนในเกือบทุกรัฐของสหรัฐ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วสหรัฐอเมริกา
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า เหตุหนึ่งที่โควิดกลับมาระบาดหนักอย่างรวดเร็ว ก็เพราะรัฐบาลน่ะแหละที่ผ่อนคลายมาตรการสวมหน้ากากอนามัย เป็นการส่งสัญาณผิดแก่ประชาชนว่า การระบาดได้จบลงแล้ว ทั้งคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว และยังไม่ได้ฉีดก็เลยใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวังตัว
สายพันธุ์เดลตาไม่ได้เล่นงานเฉพาะชาติประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา หรือประชาธิปไตยภายใต้เงาเผด็จการอย่างไทย แต่เดลตายังสามารถปีนข้ามกำแพงเข้าไปเล่นงาน “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่เรียกตนเองว่า เป็นประชาธิปไตยที่มีเอกลักษณ์ และใช้มาตรการเข้มแข็งเอาชนะโควิด-19 มาแล้ว
จีนเริ่มพบเคสผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลตาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่สนามบินหนานจิง มณฑลเจียงซู จากนั้นก็เกิดการแพร่ระบาดแบบลูกโซ่ในเมืองต่างๆ เกือบ 30 เมืองใน 15 มณฑล รวมถึงเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของไวรัสโควด-19 บนผืนโลก และเจาะถึงกรุงปักกิ่งที่เป็นเมืองหลวง
จากประสบการณ์ในปีที่แล้ว ทันทีที่เกิดการระบาดใหม่ จีนได้ใช้นโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” ตามที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ให้แนวทางปฏิบัติไว้ หน่วยงานต่างๆ ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นรีบดำเนินการควบคุมการระบาดทันที โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกิดการระบาดมีการล็อกดาวน์และตรวจเชื้อในวงกว้าง อาทิ ที่เมืองหนานจิง มีการตรวจเชื้อชาวเมืองทั้งหมด 9.2 ล้านคน คนละ 2 ครั้ง เพื่อความมั่นใจว่า จะไม่ผิดพลาด
ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ซึ่งเชื้อโควิด-19 ปรากฎกายครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วจนระบาดไปทั่วโลก มีการปูพรมตรวจประชาชนทั้งหมด 12 ล้านคน
ขณะนี้ทุกเมืองทุกพื้นที่ที่ปรากฎผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะถูกสแกนอย่างละเอียด ด้วยการตรวจหาผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสโรค หากพบจำนวนอาจถึงขั้นปิดเมือง สกัดกั้นการเดินทางเพื่อมิให้เชื้อแพร่กระจาย
ที่กรุงปักกิ่ง ล่าสุดมีการยกเลิกการจัดนิทรรศการและกิจกรรมขนาดใหญ่ในเดือนสิงหาคม หลังจากตรวจพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในท้องถิ่น นอกจากนี้ ทางการปักกิ่งยังสั่งตรวจเชื้อบุคคลกลุ่มเสี่ยง ซึ่งรวมถึงคนขับแท็กซี่ พนักงานจัดส่งสินค้าและบรรดาไรเดอร์ของแอปพลิเคชั่นที่ให้บริการต่างๆ ในเขตกรุงปักกิ่ง
ทางการปักกิ่งยังสั่งยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้าเมืองจากพื้นที่เสี่ยงทั้งทางบกและอากาศ นั่นหมายถึงความเข้มงวดที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เข้มงวดอยู่แล้ว
กรณีหนึ่งที่กล่าวถึงกันมากคือ มาตรการของ “จางเจียเจี้ย” เมืองท่องเที่ยวชื่อดังในมณฑลหูหนาน ซึ่งทางการของเมืองมีคำสั่งกักตัวผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยวทุกคนไม่ให้ออกจากเมือง มีการทดสอบกรดนิวคลีอิกประชาชนทั้งเมือง และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกทดสอบถึง 3 ครั้ง
นอกจากนี้ ทางการได้สั่งลงโทษเจ้าหน้าที่เขต ปลดหัวหน้าแผนกสาธารณสุขประจำเขต ปลดผู้บริหารโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ประจำสถานที่ท่องเที่ยว ฐานเฉื่อยชาและหย่อนยานต่อการปฏิบัติหน้าที่
ไม่เหมือนเมืองไทยที่ติดเชื้อวันละ 20,000 คน ตายวันละเกือบ 200 ราย โรงพยาบาลปฏิเสธไม่รับผู้ป่วย แต่ข้าราชการยังอยู่สบาย ไม่เคยมีการลงโทษใครสักคน หรือแม้แต่นักการเมืองที่บริหารจัดการวัคซีนผิดพลาดซ้ำซาก ก็ไม่เห็นผู้นำประเทศจะกล้าตำหนิสักคำ
พูดถึงวัคซีนแล้ว วันนี้รัฐบาลจีนจัดการฉีดซิโนแวคและซิโนฟาร์มให้ประชากรแล้ว 1,600 ล้านโดส โดยจีนมีเป้าหมายจะฉีดให้ได้อย่างน้อย 65% ของประชากร 1,400 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ ที่น่าสนใจคือ หลายเมืองเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มวัยรุ่นแล้วในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และตั้งเป้าฉีดให้กลุ่มวัยรุ่นอายุ 12-17 ปีครบทุกคนภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้
การที่จีนเอาจริงเอาจังกับการแพร่ระบาดโควิด-19 เพราะจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ช่วงวันที่ 4-20 กุมภาพันธ์ 2022 และการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกฤดูหนาว 2022 ช่วงวันที่ 4-13 มีนาคม 2022 ที่กรุงปักกิ่ง หลังจากเคยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 2008
ตามกำหนดการระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคมปีนี้ คณะกรรมการจัดงานกีฬาโอลิมปิกปักกิ่งจะจัดการแข่งขันระหว่างประเทศ 10 ครั้ง จัดการแข่งขันเพื่อทดสอบภายในประเทศ 2 ครั้ง และสัปดาห์ฝึกซ้อมระหว่างประเทศ 3 ครั้ง เพื่อทดสอบความพร้อมของสถานที่การแข่งขันต่างๆ ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งได้ก่อสร้างใหม่และปรับปรุงของเก่าเสร็จมาตั้งแต่ปี 2020 โดยผ่านการตรวจสอบของคณะกรรมการโอลิมปิกแล้ว
เชื่อว่าสองเดือนนี้ จีนต้องหาทางสยบสายพันธุ์เดลตาให้อยู่ แม้จะต้องสร้างกำแพงล้อมกรุงปักกิ่งก็ตาม เพื่อให้งานเดินหน้าตามเป้าหมาย และการแข่งขันโอลิมปิกแบบไร้คนดูที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจะไม่มีวันเกิดขึ้นที่จีนอย่างแน่นอน