พลอากาศเอก คณิต สุวรรณเนตร ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน กล่าวภายหลังการประชุมในวันนี้ว่าได้มีการทบทวนถ้อยคำและหลักการของร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมีการปรับโครงสร้างของ “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” จาก 13 คน เป็น 15 คน โดยเพิ่มในสัดส่วนของสื่อมวลชนอีก 2 คน เนื่องจากมองว่าต้องมีพื้นที่ให้กับสื่อทั้งส่วนกลางและภูมิภาคอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของคณะทำงานก่อตั้งสภาวิชาชีพฯ ซึ่งบทเฉพาะการให้กรอบเวลาดำเนินการจัดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี แต่หากเห็นว่าต้องการเพิ่มจำนวนกรรมการให้มากขึ้นกว่านี้ ก็สามารถปรับเปลี่ยนในภายหลังได้ตามความเหมาะสม 

          นอกจากนี้ยังมีการกำหนดด้วยว่า หลังจากจัดตั้งสภาวิชาชีพฯ แล้ว คณะทำงานจะไม่สามารถเข้าเป็นกรรมการสภาวิชาชีพฯ ได้ภายใน 2 ปี เพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ขณะที่เงื่อนไขของคณะกรรมาธิการฯ เบื้องต้นยังไม่ได้มีการบัญญัติห้ามเข้าเป็นกรรมการไว้ ซึ่งอาจจะทบทวนและบัญญัติไม่ให้เป็นกรรมการภายในระยะเวลา 2 ปีเช่นกัน

          สำหรับเรื่องอื่นๆ ที่มีการบัญญัติ ก็มีการกำหนดนิยามของผู้ที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ที่จะต้องทำงานประจำและได้ค่าตอบแทนจากการประกอบวิชาชีพ แต่ผู้ที่เขียนบทความเป็นครั้งคราวที่ไม่ประจำ ไม่ถือว่าเป็นผู้ที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ส่วนมาตรฐานจริยธรรม และหน้าที่อื่นๆ เป็นเรื่องที่สภาวิชาชีพฯ กำหนด ซึ่งจะต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ด้วย

          ส่วนเรื่องการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสภาวิชาชีพฯ พลตำรวจตรี พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการฯ กล่าวว่า บทเฉพาะกาลกำหนดให้บุคคลที่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอยู่แล้ว ก่อนวันประกาศใช้ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะได้ใบประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยให้ไปขึ้นทะเบียนภายใน 2 ปี หลังประกาศใช้กฎหมาย ซึ่งจะมีการกำหนดเงื่อนไขให้ต้นสังกัดรับรอง ส่วนบุคคลที่จะเข้ามาทำงานสื่อในภายหลัง จะต้องผ่านกระบวนการอบรม ปฐมนิเทศ ก่อนได้ใบประกอบวิชาชีพฯ

          พลอากาศเอก คณิต เปิดเผยด้วยว่า คณะกรรมาธิการจะมีการประชุมเพื่อทบทวนอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคมนี้ ก่อนส่งให้ที่ประชุมวิป สปท. พิจารณาในวันที่ 9 มีนาคม ก่อนส่งให้ที่ประชุมใหญ่ สปท. พิจารณาต่อไป