นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ประธานคณะทำงานพหุภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาแก๊งโทรศัพท์ (คอลเซ็นเตอร์) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะทำงานพหุภาคีฯ 11 หน่วยงานประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ได้ข้อสรุปในการประชุมหารือ โดยจะเสนอให้ที่ประชุม กสทช. พิจารณากำหนดในเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายสร้างระบบหรือแอพพลิเคชั่นที่ให้ประชาชนสามารถเลือกสมัครบริการปฏิเสธไม่รับสายที่โทรฯ มาจากต่างประเทศได้
โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากมิจฉาชีพ โดยประชาชนที่ไม่มีธุระ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับต่างประเทศ สามารถเลือกบริการที่จะไม่รับสายที่โทรฯ มาจากต่างประเทศได้ เพื่อเป็นการป้องกัน ลดความเดือดร้อนให้กับประชาชน และแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ ส่วนการแก้ไขปัญหาในระยะยาวที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน คณะทำงานฯ จะเร่งผลักดันให้เกิดผลต่อไป
นอกจากนั้น ที่ประชุมคณะทำงานพหุภาคีฯ ได้เน้นย้ำความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยให้โอเปอเรเตอร์ใส่เครื่องหมาย+นำหน้าทุกเลขหมายที่โทรฯ เข้ามาจากต่างประเทศ โดยมีการแยกแยะ เช่น หากมีสายเรียกเข้าขึ้นต้นด้วย +697 แสดงว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มาจากต้นทาง และเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย +698 เป็นสายที่โทรฯ จากเบอร์มือถือไทยที่ใช้บริการโรมมิ่ง แล้วโทรฯ กลับมาเมืองไทยจากต่างประเทศ เพื่อให้ประชาชนแยกแยะออก ซึ่งหากประชาชนไม่มีครอบครัวหรือธุระติดต่อกับต่างประเทศ ก็ควรจะระมัดระวังหากจะรับสาย
“ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ SMS หลอกลวง จะเห็นว่ามีข่าวการจับกุม แก๊งมิจฉาชีพที่ใช้อุปกรณ์โทรไปหลอกลวงประชาชนมาดำเนินคดี โดยใช้ข้อมูลเบาะแสจากประชาชน และความร่วมมือของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สำนักงาน กสทช. และโอเปอเรเตอร์ เพื่อนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ” นายประวิทย์ กล่าว